บทที่9



ประวัติศาสตร์คริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ภาคแรก

1. ถ้าเราจะใช้เวลาศึกษาที่มาของบรรดานิกายต่างๆก็ยิ่งทำให้เราสับสนมากขึ้น เพราะนิกายต่างๆเหล่านี้คิดค้นคำสอนของตนเองขึ้นมา พระคัมภีร์แต่เพียงอย่างเดียวเป็นคำตอบดีที่สุด เพราะเป็นความจริงที่มาจากพระเจ้า
 

2. การเปรียบเทียบกับนิกายต่างๆก็ไม่สามารถทำให้เราไม่พบคริสตจักรของพระเยซูที่แท้จริง ยิ่งทำให้สับสนมากขึ้น เพราะนิกายต่างๆเหล่านี้ก่อตั้งขึ้นหลังจากที่พระเยซูได้ตั้งคริสตจักรของพระองค์ขึ้น กำเนิดของนิกายต่างๆเหล่านี้เป็นมาอย่างไร? เราจะหาคำตอบในบทเรียนนี้
 

3. เรื่องที่จะศึกษาคือประวัติศาสตร์คริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า คริสตจักรของพระคริสต์มีต้นกำเนิดในวันเพ็นเตคอสหลังจากที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน ค.ศ. 33 หลายปีต่อมามีนิกายต่างๆได้เกิดขึ้น บทเรียนวันนี้จะศึกษาประวัติที่มาของนิกายเหล่านี้
 

4. ศึกษาประวัติศาสตร์เราพบว่ามนุษย์หลงไปจากหน “ทางของพระเจ้า” ตั้งแต่ปฐมกาลเราพบว่ามนุษย์มักสัตย์ซื่อต่อ “ทางของพระเจ้า” ในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น

5. ไม่นานหลังจากที่พระเจ้าสร้างอาดามและฮาวาทั้งสองได้หลงไปจาก “ทางของพระเจ้า” พระเจ้าได้มอบความรับผิด ชอบให้ทั้งสองครอบครองโลกนี้ พระเจ้าได้ให้ทั้งสองอาศัยอยู่ในสวนเอเดน แต่อาดามฮาวาได้หลงไปจาก “ทางของพระเจ้า” เลือกฟังซาตานได้รับประทานผลไม้ที่พระเจ้าห้าม
 

6. อาดามและฮาวาไม่สามารถปกปิดความผิดจากพระเจ้าได้ เขาทั้งสองเลือกที่จะทำบาป เขาทั้งสองก็เริ่มตายฝ่ายร่างกาย และถูกแยกออกไปจากพระเจ้า เขาตายฝ่ายวิญญาณจิต (ยะซายา59:1-2) อาดามและฮาวาได้สูญเสียพระพรที่จะร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เพราะเขาทั้งสองหลงไปจาก “ทางของพระเจ้า”
 

7. ที่จะมีการร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้า พระเจ้ากำหนดวิธีที่เข้าเฝ้าพระองค์ในการนมัสการ แต่คายินบุตรชายของอาดามและฮาวาได้สะท้อนให้เห็นอีกว่า มนุษย์มักหลงไปจาก “ทางของพระเจ้า” คายินถวายเครื่องบูชาที่พระเจ้าไม่ได้สั่ง เมื่อมีมนุษย์เพิ่มขึ้น มีคนเป็นอันมากได้ติดตามหนทางของคายิน พวกเขาเหล่านี้ไม่ฟังพระคำของพระเจ้า

8. เวลาผ่านไปเมื่อถึงสมัยโนฮามนุษย์ทั่วโลกได้หลงไปจาก “ทางของพระเจ้า” มนุษย์กระทำความชั่วมากขึ้น ความคิดนึกในใจของเขาล้วนแล้วแต่ชั่ว พระเจ้าดำริที่จะทำลายล้างโลกด้วยน้ำ พระเจ้าสั่งให้โนฮาต่อนาวาใหญ่ ในยุคนี้โนฮากับครอบครัวเท่านั้นที่เป็นคนชอบธรรม เพราะได้ดำเนินตาม “ทางของพระเจ้า”
 

9. คนที่พินาศจากน้ำท่วมโลกได้รับการตักเตือนให้กลับใจเสียใหม่จากคำเทศนาของโนฮา แต่พวกเขาปฏิเสธหน “ทางของพระเจ้า” พวกเขาจึงพินาศทุกคน
 

10. แต่โนฮากับครอบครัว 8 คนเท่านั้นที่รอดจากน้ำทั่วโลก โนฮากับครอบครัวทั้งสัตว์ได้ออกจากนาวา หลังจากน้ำแห้งแล้ว โนฮากับครอบครัวรอดจากน้ำท่วมโลกก็เพราะเขาเชื่อฟังพระเจ้า โนฮากับลูกหลานของท่านได้เพิ่มประชากรโลก

11. หลังจากนั้นลูกหลานของโนฮาคิดว่าหนทางของตนดีกว่าหน “ทางของพระเจ้า” พวกเขาได้สร้างหอบาเบ็ลขึ้นเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเขาพึ่งพละกำลังของตนเอง พระเจ้าได้ บัลดาลให้การสร้างหอบาเบ็ลไม่สำเร็จ ทำให้ภาษาวุ่นวายไป มนุษย์ได้กระจัดกระจายไปและขณะเดียวกันหลงไปจาก “ทางของพระเจ้า”
 

12. ภายหลังพระเจ้าได้เลือกอับราฮามผู้ที่มีความเชื่อท่าม กลางมนุษย์ในโลกที่ปฏิเสธพระเจ้า พระเจ้าเลือกอับราฮามเพื่อให้พระผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูมาบังเกิด โปรดทราบว่าพระสัญญานี้ให้แก่ผู้ดำเนินตาม “ทางของพระเจ้า” หลายชั่วอายุคนต่อมาลูกหลานของอับราฮามตกเป็นทาสในประเทศอียิปต์ พระเจ้าเลือกให้โมเซนำพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์
 

13. โมเซเป็นตัวอย่างของผู้ที่ดำเนินตาม “ทางของพระเจ้า” ตอนที่ชนชาติยิศราเอลออกจากประเทศอียิปต์ พวกเขาเป็นประเทศใหญ่ โมเซได้รับพระบัญญัติของพระเจ้า บนภูเขา ซีนาย เมื่อกลับลงมาจากภูเขาซีนายพวกยิศราเอลได้พากันกราบไหว้รูปวัวทองคำ เราเห็นว่าชนชาติยิศราเอลหลงจาก “ทางของพระเจ้า”
 

14. โมเซได้อ้อนวอนพระเจ้าแทนคนเหล่านั้นที่กลับใจเสียใหม่ บัญญัติ 10 ประการข้อที่2 ห้ามไม่ให้ทำรูปเคารพกราบไหว้ เอ็กโซโด 20:4-5 “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นสัณฐานรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าอากาศเบื้องบนหรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่างหรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน  อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้นด้วยเราคือยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าเป็นผู้หวงแหน ให้โทษของบิดาที่ชังเรานั้นติดเนื่องจนถึงลูกหลานกระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุคน”
 

15. ตอนที่โมเซอยู่บนภูเขา พระเจ้าได้สั่งให้โมเซสร้างพลับพลา และพระองค์ได้บอกรายละเอียดให้โมเซ โมเซได้ปฏิบัติตาม “ทางของพระเจ้า” ในการสร้างพลับพลาตรงตามที่พระเจ้าสั่งรวมทั้งสั่งว่าควรจะนมัสการอย่างไร?  ละเอียดมากแม้กระทั่งกำหนดว่า ควรจะนำไฟที่ไหนเพื่อเผาถวายเครื่องสักการบูชา
 

16. แม้พระเจ้าได้สั่งไว้แล้วก็ตาม แต่นาดาบกับอะบีฮู ไม่ปฏิบัติตามหน “ทางของพระเจ้า” ไปเอาไฟที่อื่นมา พระเจ้าลงโทษคนทั้งสองเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ชนชาติ ยิศราเอล
 

17. ตลอดเวลาที่โมเซนำชนชาติยิศราเอลวนเวียนอยู่ในป่า 40 ปี ท่านได้เห็นชนชาติยิศราเอลหลงไปจาก “ทางของพระเจ้า” ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนโมเซสิ้นชีวิตท่านได้กำชับชนชาติยิศราเอลให้รักษา บัญญัติของพระเจ้า และเตือนให้พวกเขาทราบว่า ถ้าไม่เชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้าจะเป็นที่แช่งสาป
 

18. หลังจากที่โมเซสิ้นชีวิตแล้ว พระเจ้าได้มอบแผ่นดิน คะนาอันให้ชนชาติยิศราเอล เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ พวกเขาได้รับพระพรจากพระเจ้า

19. อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาหลงไปจาก“ทางของพระเจ้า” และหลงไปกราบไหว้รูปเคารพ  พระเจ้าได้ส่งผู้พยากรณ์เรียกร้องให้เขากลับใจเสียใหม่ แต่พวกเขาปฏิเสธ
 

20. เป็นเวลานานหลังจากที่พวกเขาหลงไปจาก “ทางของพระเจ้า” ชนชาติยิศราเอลได้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยยังต่างประเทศ วิหารถูกทำลาย พระเจ้าเมตตาพวกเขาแต่พวกเขาไม่ฟัง พวกเขาจึงประสบกับความพินาศ

21. พระเจ้ายังทรงห่วงใยพลไพร่พระองค์ได้ส่งผู้พยากรณ์ เช่นยะเอศเคลเทศนาเรียกร้องให้ชนชาติยิศราเอลหันกลับมาสู่หน “ทางของพระเจ้า” บางคนก็ฟังแต่คนเป็นอันมากไม่ยอมฟัง ดังนั้นพวกเขาจึงตกเป็นเชลยเป็นเวลา 70 ปี
 

22. ขณะที่พลไพร่ของพระเจ้าเป็นเชลยที่บาบิโลน  ดานิเอลผู้พยากรณ์ได้อธิษฐานเพื่อพลไพร่ จะได้หันกลับมาสู่หน “ทางของพระเจ้า” และกลับไปสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา เวลาผ่านไปพวกยิศราเอลกลับใจเสียใหม่ พระเจ้าได้นำพวกเขากลับไปยังแผ่นดินแห่งพระสัญญาบ้านเกิด
 

23. ในที่สุดพระเจ้าได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเพื่อนำคนทั้งโลกกลับมาหาพระเจ้า ครั้งแรกพระเยซูได้เสด็จไปสั่งสอนพวกยิศราเอล ซึ่งเมื่อก่อนพวกยิศราเอลได้ปฏิเสธพระเจ้าคราวนี้พวกยิศราเอลคงจะฟังพระบุตรของพระองค์แน่ๆโยฮันบัพติศโตได้ชี้ให้พวกยิวรู้จักพระเยซู “ล่วงไปวันหนึ่งโยฮันได้เห็นพระเยซูเสด็จมาหาตนจึงกล่าวว่า ดูแน่ะพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไป” (โยฮัน 1:29)
 

24. อีกครั้งหนึ่งพวกยิวหันหลังไปจาก “ทางของพระเจ้า” พวกเขาปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ในที่สุดได้พากันตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนโดยอาศัยพวกโรมเป็นเครื่องมือ พวกเขาคิดว่าจะปิดกั้นไม่ให้ผู้คนติดตามพระองค์ได้ตลอดกาล
 

25. แต่พระเยซูได้ฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นจากความตาย เพื่อพิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัยว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า นี่เป็นการเริ่มต้นการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ออกไปทั่วโลก
 

26. พระคัมภีร์ใหม่เป็นพระคำของพระเจ้าที่เปิดเผยหน “ทางของพระเจ้า” ในสมัยคริสตจักรยุคแรกพระเจ้าได้เลือกคนของพระองค์ เช่น เปาโล, เปโตร และคนอื่นๆให้บันทึกถ้อยคำต่างๆไว้ในพระคัมภีร์ โดยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นพระคัมภีร์ใหม่จึงเป็นมาตรฐานและเป็นอำนาจเด็ดขาดของพระเจ้า เพราะฉะนั้นผู้ที่ละไปจากคำสอนของพระคัมภีร์ใหม่ก็เท่ากับละไปจาก “ทางของพระเจ้า”
 

27. แม้ในเวลาที่พระคัมภีร์ใหม่กำลังเขียนอยู่ มนุษย์ก็ยังหลงไปจาก “ทางของพระเจ้า” สามีภรรยาคู่หนึ่งได้นำเงินมาถวายให้คริสตจักร แต่ยักยอกไว้ส่วนหนึ่ง อะนาเนียผู้เป็นสามีพูดมุสาได้ล้มลงตายที่เท้าของอัครสาวก หลังจากนั้น ซัปไฟเรผู้เป็นภรรยาได้พูดมุสาเช่นเดียวกัน เธอได้ล้มลงตายเช่นเดียวกัน คริสเตียนยุคแรกเรียนรู้ว่าสำคัญมากที่จะต้องดำเนินตาม “ทางของพระเจ้า”
 

28. “ทางของพระเจ้า” ได้ประกาศคริสเตียนยุคแรกโดยการเทศนาและการเขียนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า เช่นอัครสาวกเปาโลได้เดินทางไปประกาศพระคำของพระเจ้าทั่วโลกของจักรวรรดิโรมัน เปาโลไม่หวั่นเกรงที่จะประณามคำสอนเท็จที่ขัดแย้งต่อความจริงที่พระเจ้าดลใจให้
 

29. เปาโลถูกข่มเหงจากพวกยิวและผู้ปฏิเสธพระเยซู เปาโลถูกจับติดคุก แม้ว่าท่านไม่สามารถเทศนาในที่สาธารณะ ขณะที่ติดคุกท่านยังประกาศความจริงของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงนำเปาโลให้เขียนพระคัมภีร์ และท่านได้ส่งไปตามคริสตจักรต่างๆให้เขาอ่าน สิ่งที่เปาโลเขียนเป็นอำนาจเด็ดขาดที่มาจากพระเจ้า
 

30. พระเจ้าได้ประทานต้นแบบของคริสตจักรในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูได้ตั้งคริสตจักรตามแบบแปลนของพระองค์ แบบเหล่านี้เป็นต้นแบบในการนมัสการ, คำสอน, กฎแห่งความเชื่อ, ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, ระบบการปกครอง, ชื่อของคริสตจักร และภารกิจของคริสตจักร ผู้ที่เคารพพระเยซูและดำเนินตามหน “ทางของพระเจ้า” ต้องเห็นความสำคัญที่จะให้คริสตจักรในปัจจุบันนี้ตามต้นแบบที่มาจากพระคัมภีร์ใหม่

31. พระเจ้าได้ประทานแบบแปลน  คริสตจักรที่สมบูรณ์ไว้แล้วในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูสร้างคริสตจักรของพระองค์ตามพระประสงค์รวมทั้งการนมัสการ, คำสอน, กฎความเชื่อ, ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, ระบบการปกครอง, ชื่อคริสตจักร, ภารกิจ  ปัจจุบันคริสตจักรจะต้องตามแบบของพระคัมภีร์ใหม่  มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงแบบแปลนของพระเจ้า คนที่พยายามเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดคริสตจักรนิกายต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างจากคริสตจักรของพระคริสต์ที่แท้จริง
 

32. ต้นแบบของพระเจ้าเกี่ยวกับคริสตจักรไม่ยากที่จะเข้าใจ คริสเตียนยุคแรกเข้าใจ เป็นเวลานานคริสเตียนได้รวมกันเป็นคริสตจักรเดียว เป็นคริสตจักรที่พระเยซูตั้งขึ้น เมื่อคริสตจักรได้ถูกตั้งขึ้นทั่วโลกของจักรวรรดิโรมัน หมู่ประชุมคริสตจักรต่างๆตามแบบแปลนเดียวกันและเชื่ออย่างเดียวกัน และสอนคำสอนอย่างเดียวกัน แต่ปัจจุบันมีนิกายต่างๆเกิดขึ้นมากมายแตกต่างจากแบบของพระเจ้า นิกายต่างๆเหล่านี้ก็มีแบบที่แตกต่างกัน เพราะต้นแบบคริสตจักรของพระเจ้า สามารถพบได้ในพระคัมภีร์ใหม่ ทำไมตลอดมาในอดีตจนถึงปัจจุบันมนุษย์ละทิ้งออกไปจากต้นแบบของพระเจ้า และตั้งนิกายต่างๆขึ้น แทนที่จะตามต้นแบบของพระเจ้า?
 

33. โปรดจำไว้ว่ามนุษย์มักหลงไปจาก “ทางของพระเจ้า” เหมือนนักศาสนาสมัยใหม่จำนวนมากไม่พอใจที่จะปฏิบัติตามต้นแบบของพระเจ้าเสมอ แม้เขารู้สึกว่าจริงใจในการปรับปรุงต้นแบบ แต่เขาได้ทำผิดอย่างมหันต์
 

34. ในลูกาบทที่ 8 พระเยซูเปรียบพระคำของพระเจ้าเหมือนเมล็ดพันธุ์พืช เมื่อเมล็ดพันธุ์พืชพระคำของพระเจ้าหว่านโดยอัครสาวกผลที่ได้ก็คือคริสตจักรตามพระคัมภีร์ใหม่ ผลจะไม่ออกมาเป็นนิกายต่างๆ เมล็ดพันธุ์พืชจะผลิตผลตามชนิดของมันฉันใด เมล็ดพันธุ์พืชคือพระคัมภีร์ใหม่จะบังเกิดผลเป็นคริสตจักรตามพระคัมภีร์ใหม่ ไม่ใช่บังเกิดผลเป็นนิกายแน่นอน
 

35. แต่คนเป็นอันมากหลับใหล คนอื่นได้ฉวยโอกาสหว่านเมล็ดพันธุ์พืชที่ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์พืชจากพระคัมภีร์ใหม่จึงเกิดมีการผสมปะปนด้วยคำสอนและลัทธิของมนุษย์ พระเยซู ตำหนิพวกเหล่านี้ว่าเป็นศัตรู (มัดธาย 13:24-30) พวกเขาไม่ได้ยึดพระคัมภีร์ ไม่สอนตามพระคัมภีร์ คนส่วนมากไม่รู้สึกผิดที่มีศิษยาภิบาล, อาจารย์, บาทหลวง, พวกพระ พวกเหล่านี้สอนคำสอนเท็จ เขานุ่งห่มดุจแกะภายนอกแต่ภายในเป็นสุนัขป่า (มัดธาย 7:15)
 

36. พระเยซูทราบว่ากฎของการแพร่พันธุ์ เมล็ดพืชจะผลิตผลออกมาชนิดเดียวกัน มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน อาดามกับฮาวาจะผลิตลูกหลานชนิดเดียวกัน ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิต หรือคริสตจักรก็จะผลิตผลชนิดเดียวกันคือคริสตจักรของพระคริสต์
 

37. กฎการแพร่พันธุ์ของพระเจ้าเป็นหลักเดียวกันในอาณาจักรของพืช เมล็ดพืชจะต้องผลิตออกมามีผลชนิดเดียวกัน กฎของพระเจ้าเมล็ดพืชคือพระคำของพระเจ้าจะมีผลผลิตออกมาเป็นไปตามพระคำของพระเจ้า
 

38. กฎการแพร่พันธุ์ของพระเจ้าเป็นหลักเดียวกันในอาณาจักรฝ่ายเนื้อหนัง อาดามกับฮาวามีลูกหลานชนิดเดียวกันคือเป็นมนุษย์ไม่มียกเว้น
 

39. กฎการแพร่พันธุ์ของพระเจ้าเป็นหลักเดียวกันในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิต เมื่ออัครสาวกนำเมล็ดพันธุ์พืชคือพระคำของพระเจ้าไปหว่านในจิตใจของคน ผลจะออกมาเป็นคริสเตียนเท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่น คนที่อัครสาวกสอนเรื่องพระเยซู กลับใจเสียใหม่ สารภาพความเชื่อ และรับบัพติศมาแล้วจะเป็นสมาชิกในอาณาจักรของพระเจ้า นี่เป็นต้นแบบที่คนจะเป็นคริสเตียนโดยวิธีเดียวในการเป็นสมาชิกในคริสตจักรของพระคริสต์ตามแบบพระคัมภีร์ใหม่เมล็ดพืชของพระเจ้าจะไม่มีผลผลิตออกเป็นนิกายต่างๆ เมล็ดพืชที่เป็นคำสอนของมนุษย์ต่างหากทำให้เป็นนิกายต่างๆ เพราะนิกายต่างๆละออกไปจาก “ทางของพระเจ้า”

ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/13bYcA4xbkWiph9tHNEB4_o-Aigdlttw-PkcY52bxQvc/viewform