ยุคโมเซ ภาคสอง
40. ผู้วินิจฉัยคนสุดท้ายคือซามูเอล ท่านได้เกิดมาเพราะคำอธิษฐานของแม่นางฮันนาได้สัญญากับพระเจ้าว่าถ้าพระองค์ประทานบุตรชายให้ นางจะถวายบุตรนั้นให้เป็นผู้รับใช้พระเจ้า
41. 
คงจะเป็นความลำบากใจที่นางฮันนา  ที่พาบุตรชายซามูเอลซึ่งยังตัวเล็กมามอบให้เอลีปุโรหิต  
และมอบไว้เพื่อฝึกฝนให้เขาเรียนรู้จักปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า  อย่างไรก็ตามนางฮันนารักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้า  
นางฮันนายังคงรักบุตรของนาง  และได้นำเสื้อผ้านำมามอบให้ซามูเอลทุกปีเมื่อนางได้เดินทางไปพลับพลา 
(1ซามูเอล 1:24-28, 
2:18-19)
42. 
กลางคืนวันหนึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับซามูเอล  ตอนนั้นซามูเอลยังเป็นเด็กอยู่  
พระเจ้าได้เปิดเผยให้ซามูเอลทราบเกี่ยวกับสถานะภาพของเอลีกับครอบครัว (1ซามูเอล 3)  
นี่สำแดงให้เห็นว่าซามูเอลเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าคือผู้ที่รับข่าวสารโดยตรงจากพระเจ้าซึ่งจะนำไปบอกกล่าวแก่ประชาชนทั้งหลายเรียกว่า
“ศาสดาพยากรณ์” 
ซามูเอลเป็นต้นกำเนิดของผู้พยากรณ์ที่ทำหน้าที่เทศนาข่าวสารจากพระเจ้า  
ให้แก่พลไพร่ของพระองค์ (กิจการ 3:24)
43. 
กษัตริย์  เป็นผู้ปกครองชนชาติยิศราเอลหลังจากพวกผู้วินิจฉัย  แม้ว่าชนชาติยิศราเอลรวมกันเป็นหนึ่งเดียว  
ภายใต้การปกครองของพระเจ้า  พวกยิศราเอลเรียกร้องอยากมีกษัตริย์เหมือนบรรดาประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆ  
พระเจ้าไม่พอพระทัยการที่พวกเขาขอให้มีกษัตริย์  
เพราะการของพวกเขาสำแดงให้เห็นการขาดความเชื่อของพวกเขา  
และปฏิเสธการคุ้มครองของพระองค์  เท่ากับว่าพวกเขาปฏิเสธพระเจ้าโดยตรง
44. 
เพราะพลไพร่ของพระเจ้าต้องการมีกษัตริย์ฝ่ายโลกนี้  
พระเจ้าได้สรรหาบุคคลที่เหมาะสมให้เป็นกษัตริย์  พระเจ้าสั่งให้ซามูเอลแต่งตั้งซาอูลบุตรชายของคิชเป็นกษัตริย์องค์แรกของชนชาติยิศราเอล  
ซาอูลเป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่และมีความกล้าหาญ  
แต่มีความถ่อมสุภาพอ่อนโยนตอนที่เป็นกษัตริย์ครั้งแรก (1ซามูเอล 9:1-10:1)
45. 
ขณะที่ซาอูลยกกองทัพไปต่อสู้กับศัตรูพลไพร่ของพระเจ้า  ไม่นานซาอูลมีอำนาจและเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียง  
ยิ่งซาอูลมีชื่อเสียงโด่งดังและประสบความสำเร็จมากขึ้น  
ซาอูลกลายเป็นคนไม่ถ่อมสุภาพ  ที่สุดซาอูลได้กระทำความผิดไม่ยอมเชื่อฟังคำตรัสสั่งของพระเจ้า  
ซามูเอลบอกซาอูลว่า
 
“เพราะว่าการกบฏนับว่าเป็นบาปเหมือนเล่ห์กลมารยาและความดื้อดึงนับว่าเป็นบาปเหมือนการไหว้รูปเคารพ 
โดยเหตุที่ท่านได้ละทิ้งพระดำรัสของพระยะโฮวาเสีย 
พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์นั้นเพราะว่าการกบฏนับว่าเป็นบาปเหมือนเล่ห์กลมารยาและความดื้อดึงนับว่าเป็นบาปเหมือนการไหว้รูปเคารพ 
โดยเหตุที่ท่านได้ละทิ้งพระดำรัสของพระยะโฮวาเสีย 
พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์นั้น” (1ซามูเอล 
15:23) ก่อนหน้านี้พระเจ้าได้เตือนชนชาติยิศราเอลแล้วเกี่ยวกับผลที่ตามมาจากการมีกษัตริย์ฝ่ายโลกนี้ 
(1ซามูเอล 8:10-18)
46. 
ขณะที่กษัตริย์ซาอูลตีตัวออกห่างไปจากพระเจ้ามากขึ้น  
พระเจ้าได้เลือกดาวิดเป็นเด็กเลี้ยงแกะเป็นบุตรชายของยิซัย  
ซึ่งจะเป็นกษัตริย์ต่อจากซาอูล (1ซามูเอล 16:1-11) 
ดาวิดเป็นคนที่มีความกล้าหาญ มีความเชื่อและไว้วางใจพระเจ้าอย่างเข้มแข็ง  
ดาวิดได้สำแดงความเชื่อเมื่อเขาดูแลฝูงแกะช่วยให้พ้นอันตรายจากสิงโตและจากสัตว์ร้ายต่างๆในป่า
47. 
พระเจ้าได้ส่งซามูเอลไปที่เบ็ธเลเฮ็ม  
เพื่อจะเฉลิมแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ของชนชาติยิศราเอลในขณะที่ซาอูลยังนั่งบัลลังก์อยู่  
แม้ว่าดาวิดเป็นบุตรชายคนสุดท้องในจำนวนบุตรชายเจ็ดคน  
พระเจ้าได้เลือกดาวิดให้เป็นกษัตริย์แทนที่จะเลือกพี่ๆของดาวิด  พระเจ้าอธิบายให้ซามูเอลว่า
“อย่าเห็นแก่รูปหรือร่างสูงของเขา 
เพราะมนุษย์เคยแลดูหน้าตากัน แต่พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรดวงจิต”
(1ซามูเอล 16:7)
48. 
ไม่นานดาวิดเข้ามาเป็นข้าราชการรับใช้กษัตริย์ซาอูลในพระราชวัง  
ดาวิดมีชื่อเสียงดีท่ามกลางพลไพร่  พวกชนชาติยิศราเอลต่างพากันสรรเสริญดาวิดว่า
“ซาอูลฆ่าคนตั้งพัน 
และดาวิดฆ่าคนตั้งหมื่น” (1ซามูเอล 18:5-9) 
ซาอูลเมื่อได้ยินคนยกย่องสรรเสริญดาวิดก็เกิดมีใจอิจฉาดาวิด  
และได้พยายามจะสังหารดาวิดด้วยความโกรธหลายครั้ง  ซาอูลได้ครอบครองเป็นเวลา 40 ปี 
ได้สังหารตัวเอง  ดาวิดได้ขึ้นครองราชย์แทน (1ซามูเอล 31:1-6)
49. 
กษัตริย์ดาวิดได้ครอบครองพลไพร่ของพระเจ้าเป็นเวลา 40 ปี  
ดาวิดได้แต่งบทเพลงสรรเสริญมากมาย  พระคัมภีร์กล่าวถึงดาวิดว่าเป็น 
 
“บุรุษผู้มีน้ำพระทัยเหมือนพระเจ้า” 
พระเจ้าได้สัญญากับดาวิดว่า พระเยซูพระมาซีฮาจะมาบังเกิดจากเชื้อสายของท่าน (กิจการ 
13:22-23)
50. 
หลังจากดาวิดสิ้นพระชนม์แล้ว  โอรสของดาวิดคือซะโลโมได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ของชนชาติยิศราเอลองค์ที่สาม  
พระเจ้าได้ถามซะโลโมให้ทูลขอสิ่งที่ท่านปรารถนาด้วยความรู้สึกว่าตนเองมีสติปัญญาไม่พอที่จะปกครองพลไพร่ของพระเจ้า  
ซะโลโมอธิษฐานว่า
 
“ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ทาสของพระองค์ให้มีใจที่เข้าใจในการพิพากษาไพร่พลของพระองค์” 
(1พงศาวดารกษัตริย์ 3:5-15) พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของซะโลโมโดยการพระราชทานให้ซะโลโมมีสติปัญญาที่เหนือกว่าคนอื่นๆ
51. 
พระเจ้าได้มอบหมายให้ซะโลโมสร้างวิหารที่ยะรูซาเล็ม  เพื่อทดแทนพลับพลาที่โมเซได้สร้างไว้  
และได้ใช้พลับพลามานานแล้วเป็นเวลา 500 ปี  วิหารนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยสดงดงาม  
ใช้คนงานก่อสร้าง (183,300) 
หนึ่งแสนแปดหมื่นสามพันสามร้อยคน  ใช้เวลาก่อสร้างเป็นเวลา 7 ปี (1พงศาวดารกษัตริย์ 
5:13-16, 6:38)
52. ซะโลโมปกครองยิศราเอลเป็นเวลา 
40 ปีที่รุ่งเรืองที่สุด  ชื่อเสียงของกษัตริย์ซะโลโมโด่งดังไปยังแดนไกล  
ราชินีซะบาแห่งเอธิโอเปียได้เดินทางหลายกิโลเมตรเพื่อที่จะสัมผัสสติปัญญาของกษัตริย์ซะโลโม  
พระนางได้ยกย่องกษัตริย์ซะโลโมว่า
 
“ซึ่งข้าพเจ้าได้ยินนั้นมิได้ถึงครึ่งพระสติปัญญาและความเจริญของพระองค์ก็ยิ่งกว่ากิตติศัพท์ซึ่งข้าพเจ้าได้ยินนั้น” 
(1พงศาวดารกษัตริย์ 10:7) ในสมัยการปกครองของกษัตริย์ซะโลโมประเทศยิศราเอลเจริญรุ่งเรืองสูงสุดและได้ขยายอาณาเขตกว้างขวางออกไป  
สติปัญญาของซะโลโมได้อนุรักษ์ไว้ในหนังสือสุภาษิต  ซึ่งซะโลโมเป็นผู้ประพันธ์  
จากประสบการณ์ชีวิตของซะโลโมประสบการณ์ชีวิตของซะโลโมท่านได้สรุปหน้าที่รับผิดชอบของมนุษย์คือยำเกรงพระเจ้าและถือรักษาพระบัญญัติของพระองค์  
(ท่านผู้ประกาศ 12:13)
53. 
อาณาจักรแบ่งแยก  เป็นอีกช่วงหนึ่งที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของของชนชาติยิศราเอล  
ช่วงนี้ใช้เวลา 120 ปีนับตั้งแต่กษัตริย์ซาอูลจนถึงกษัตริย์ซะโลโมสิ้นพระชนม์  ในสมัยสหอาณาจักรซะโลโมสิ้นพระชนม์แบ่งแยกเป็นสองประเทศ 
ประเทศยูดากับประเทศยิศราเอล  ทั้งสองประเทศไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
54. ระฮับอามโอรสของซะโลโม  
ปกครองประชาชนด้วยความกดขี่และอวดหยิ่งได้ปลุกกระแส  
การแรกแยกให้เกิดขึ้นไม่ยอมทำตามคำปรึกษาของผู้อาวุโส  
แนะนำให้ปรนนิบัติพลไพร่ของพระเจ้าแต่ระฮับอามทำตามคำปรึกษาของคนหนุ่มทั้งหลาย  
ระฮับอามอวดหยิ่งและกดขี่ประชาชน  ผลจากการไม่ยุติธรรมนี้ทำให้ 10 
ตระกูลแยกออกไปตั้งอาณาจักรทางตอนเหนือของปาเลสไตน์  ระฮับอามเป็นกษัตริย์ปกครอง 2 
ตระกูลในอาณาจักรยูดา (1พงศาวดารกษัตริย์ 12:1-24)
55. 
เพื่อป้องกันไม่ให้สิบตระกูลกลับไปนมัสการที่กรุงยะรูซาเล็มยาราบะอามได้สร้างแท่นบูชาขึ้นสองแห่งในอาณาจักรฝ่ายเหนือ 
ทางด้านเหนืออยู่ที่เมืองดาน  ทางด้านใต้อยู่ที่เบ็ธเอล  
ท่านได้สร้างรูปวัวทองคำไว้ที่ดานและเบ็ธเอลเพื่อให้พลไพร่นมัสการ  
และท่านได้เปลี่ยนระบบปุโรหิตเสียใหม่  ท่านได้กล่าวแก่พวกยิศราเอลว่า
 
“โอ้ยิศราเอลนี่แน่ะเป็นพระของท่านซึ่งได้นำท่านออกมาจากประเทศอายฆุปโต” 
(1พงศาวดารกษัตริย์ 12:25-33) 
นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอาณาจักรยิศราเอลได้ถูกจัดเข้าเป็นประเทศที่กราบไหว้รูปปั้นรูปเคารพ  
อาณาจักรยูดากับอาณาจักรยิศราเอลตั้งอยู่จนถึงอาณาจักรทั้งสองถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยโดยพวกศัตรู
56. 
ศาสดาพยากรณ์ 
คือนักเทศน์ที่พระเจ้าดลใจให้และส่งให้พวกเขาไปป่าวประกาศเรียกร้องให้พลไพร่กลับมาหาหนทางของพระเจ้า 
(เฮ็บราย 1:1) 
หนังสือ 17 
เล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิมได้บันทึกข่าวสารของศาสดาพยากรณ์บางท่านเอาไว้
57. 
ศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งคือยะซายา  ท่านมีชีวิต 750 
ปีก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมาจากสวรรค์มายังโลกนี้  
ยะซายาได้พยากรณ์ไว้ว่าพระเจ้าจะตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้น  ไม่ใช่เฉพาะสำหรับชนชาติยิศราเอลเท่านั้นแต่สำหรับมนุษย์ทุกชาติ 
(ยะซายา 2:1-3) 
เพราะยะซายาได้พยากรณ์เกี่ยวกับชีวิตของพระเยซู พระมาซีฮา 
ยะซายาจึงเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้พยากรณ์ที่ทำนายเกี่ยวกับพระมาซีฮา  
คำทำนายของยะซายาเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูที่มีชีวิตในโลกนี้เป็นความจริงทั้งสิ้น
58. ดานิเดลศาสดาพยากรณ์อีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียง  
แม้ว่าตกเป็นเชลยในต่างแดนถูกห้ามไม่ได้นมัสการพระเจ้าแต่ดานิเอลก็ยังนมัสการพระเจ้า 
(ดานิเอล 6:1-11) 
เมื่อดานิเอลถูกจับโยนลงไปในกรงสิงโตเพื่อลงโทษ  พระเจ้าปกป้องชีวิตของดานิเอลด้วยการปิดปากสิงโต 
(ดานิเอล 6:12-28) 
ศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ได้พยากรณ์ว่าพระเจ้าจะตั้งอาณาจักรขึ้นและจะตั้งขึ้นอยู่นิรันดรจะไม่ถูกทำลาย  
ดานิเอลได้พยากรณ์ว่า “ในสมัยเมื่อกษัตริย์เหล่านั้นกำลังเสวยราชย์อยู่ 
พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรอันหนึ่งขึ้นซึ่งจะไม่มีวันทำลายเสียได้ ...”
(ดานิเอล 2:44ก) พระเยซูกล่าวว่า 
แผ่นดินสวรรค์ ก็คือคริสตจักร (มัดธาย 16:18-19)
59. 
ท่านผู้นี้กำลังสนใจอ่านผู้พยากรณ์ของพระคัมภีร์เดิม  
ผู้พยากรณ์เหล่านี้ไม่ใช่เฉพาะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรยิศราเอลทั้งสองและที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อบ้านเท่านั้น  
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดได้ทำนายเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเยซูในการเป็นแสงสว่างของโลก 
(กิจการ 3:22-24)
60. 
พระเยซูได้บังเกิด  ถูกต้องตามคำพยากรณ์ทุกประการทั้งเวลาและสถานที่ 
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
61. 
คำพยากรณ์ต่างๆเหล่านี้  
ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ได้เริ่มประสบความสำเร็จเมื่อทูตสวรรค์ฆับรีเอลของพระเจ้าได้ปรากฏแก่ซะคาเรียผู้เป็นปุโรหิต  
ทูตสวรรค์ได้สัญญาว่าท่านกับภรรยาจะมีบุตรชายนามว่าโยฮันซึ่งเป็นผู้จัดเตรียมการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า 
(ลูกา 1:5-25)
62. 
หลังจากที่ทูตสวรรค์ฆับรีเอลได้ปรากฏแก่ซะคาเรียหกเดือน  พระเจ้าได้ใช้ทูตสวรรค์ฆับรีเอลไปพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อมาเรีย 
 ทูตสวรรค์ได้บอกข่าวประเสริฐจากพระเจ้าแก่มาเรียว่า
 
“นี่แนะ 
เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายจงตั้งชื่อบัตรนั้นว่า เยซู” 
(ลูกา 1:31) ทูตสวรรค์ได้ปรากฏแก่โยเซฟซึ่งเป็นคู่มั่นของมาเรียเพื่อบอกโยเซฟให้มั่นใจว่ามาเรียบริสุทธิ์และการตั้งครรภ์ของมาเรียเป็นไปโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ 
(มัดธาย 1:18-25)  มาเรียยังคงดำรงความเป็นพรหมจารีจนหลังจากการประสูติของพระเยซู  
หลังจากนั้นมาเรียมีบุตรหลายคนซึ่งเกิดจากโยเซฟ (ลูกา 8:19-21)
63. 
ถึงเวลาที่บุตรของมาเรียใกล้คลอด  จักรพรรดิของโรมบังคับให้ประชาชนไปลงทะเบียบที่บ้านเกิดของตนเองเพื่อต้องการเก็บภาษี  
เมื่อโยเซฟกับมาเรียได้เดินทางไปถึงเบ็ธเลเฮ็มบ้านเกิดของตนเอง 
ปรากฏว่าไม่มีที่พักเพราะมีผู้คนเยอะแยะในเมืองเล็กๆ  
ถ้าเจ้าของโรงแรมรู้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดของโลกกำลังจะบังเกิดเขาคงจะจัดห้องพักให้ได้  
โยเซฟกับมาเรียจำเป็นต้องพักอยู่ในคอกสัตว์  (ลูกา 2:1-6)
64.  
“นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี  
เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า” (ลูกา 2:7) 
พระกำเนิดของพระกุมารเยซูไม่เหมือนกับทารกอื่นๆที่เกิด  
เพราะพระกุมารเยซูทรงบังเกิดในครรภ์ของมาเรียโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า  
พระเยซูไม่มีบิดาฝ่ายเนื้อหนังเหมือนมนุษย์คนอื่น  
พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าซึ่งทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร  
แต่บัดนี้ได้บังเกิดมาในโลกนี้เพื่อเป็นพระผู้ช่วยให้รอด (โยฮัน 1:1-3,14)
65. 
พระกำเนิดของพระผู้ช่วยให้รอดสำคัญมาก  
ในคืนวันนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ประกาศพระกำเนิดของพระเยซูแก่พวกคนเลี้ยงแกะ  
ทูตสวรรค์ได้กล่าวว่า 
 
“ในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายคือพระคริสต์เจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด” 
หลังจากที่พวกเลี้ยงแกะได้เข้าไปนมัสการพระผู้ช่วยให้รอดแล้วทันทีพวกเขาเข้าไปในเมืองประกาศข่าวประเสริฐให้ทุกคนทราบสิ่งที่พวกเขาได้เห็น 
(ลูกา 2:8-20)
66. 
ห่างไกลไปทางทิศตะวันออกหลายกิโลเมตร  
พวกนักปราชญ์หลายคนได้เห็นดวงดาวที่ไม่ธรรมดาได้ปรากฏขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากษัตริย์องค์ใหม่ได้ประสูติแล้ว  
หลายเดือนผ่านไปพวกเขาได้เดินทางไปนมัสการกษัตริย์องค์ใหม่ได้ถวายของวิเศษสิ่งมีค่าคือ 
ทองคำ กำยาน และมดยอบ (มัดธาย 2:1-12)
67. 
ชีวิตของพระเยซู สมัยทรงพระเยาว์  ได้กล่าวไว้น้อยมากเพียงแต่บันทึกไว้ว่า "...ได้จำเริญขึ้นในฝ่ายสติปัญญา 
ในฝ่ายกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย" 
อีกครั้งหนึ่งสมัยพระเยซูมีพระชนม์มายุได้ 12 พรรษา 
ได้เดินทางไปนมัสการในวิหารที่กรุงยะรูซาเล็มกับโยเซฟ และนางมาเรีย (ลูกา 
2:45-47)
68. 
ในวิหารของพระเจ้า  
พระกุมาเยซูได้สำแดงพระปรีชาสามารถด้านความรู้ในพระคำของพระเจ้าแก่บรรดาอาจารย์ทั้งหลาย  
บิดามารดาได้เดินทางกลับบ้านได้รู้ภายหลังว่าพระกุมารเยซูไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่เดินทางด้วย  
เขาได้เดินทางกลับไปกรุงยะรูซาเล็มและได้พบพระกุมารเยซูสนทนาอยู่กับบรรดาคณาจารย์ฝ่ายศาสนาทั้งหลาย 
(ลูกา 2:46-48) 
เมื่อมารดาถามว่าทำไมยังค้างอยู่ในวิหารพระกุมารเยซูตอบว่า  “ท่านไม่รู้หรือว่าฉันจะต้องทำธุระของพระบิดาก่อน” 
(ลูกา 2:49) 
หลังจากเหตุการณ์นี้แล้วพระเยซูใช้ชีวิตอยู่กับโยเซฟและมาเรียเป็นเวลา 18 
ปีอยู่กับครอบครัวก่อนที่จะเริ่มต้นทำพระราชกิจของพระองค์
69. 
ก่อนที่พระเยซูจะเริ่มต้นกระทำพระราชกิจของพระองค์  โยฮันบุตรของซะคาเรียได้เริ่มต้นเทศนาสั่งสอนเพื่อตระเตรียมประชาชนให้พร้อมการเสด็จมาของพระเยซู  
โยฮันบอกประชาชนตรงไปตรงมาว่าเขาไม่ใช่เป็นพระคริสต์  
แต่เป็นผู้ตระเตรียมการเสด็จมาของพระคริสต์ (มาระโก 1:1-8)
70. 
พระเยซูเริ่มกระทำพระราชกิจเมื่อพระชนม์มายุได้ 30 พรรษา  (ลูกา 3:23) 
พระเยซูใช้ชีวิตและสิ้นพระชนม์อยู่ภายใต้ยุคของโมเซตามประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์  
พระองค์แต่เพียงผู้เดียวที่รักษาบัญญัติของโมเซอย่างสมบูรณ์ไม่บกพร่องเลย
71. 
พระเยซูได้เดินทางมาจากฆาลิลาย  เพื่อจะไปรับบัพติศมาจากโยฮันบัพติศโตที่แม่น้ำยาระเดน 
หลังจากที่พระเยซูรับบัพติศมาด้วยการจุ่มน้ำแล้วก็เสด็จขึ้นจากน้ำ (มาระโก 1:10) 
การรับบัพติศมาครั้งนี้เป็นการจุ่มมิดน้ำ ตามความหมายของภาษากรีก “แบพติศโซ่” 
พระคัมภีร์กล่าวว่าการที่พระเยซูรับบัพติศมาก็เพื่อทำให้ “ความชอบธรรมสำเร็จทั้งสิ้น”
พระองค์ไม่ได้รับบัพติศมาเพื่อลบล้างความผิดบาปเพราะพระองค์ไม่มีบาป 
(มัดธาย 3:13-15) 
 
72. 
พระวิญญาณของพระเจ้าได้เสด็จลงมาอยู่เหนือศีรษะของพระเยซู  มีสัณฐานเหมือนนกพิราบ 
และมีพระสุรเสียงจากฟ้าตรัสว่า
 
“ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา 
เราชอบใจท่านมาก” ภายหลังโยฮันบัพติศโตได้เป็นพยานเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ 
“เราได้เห็นพระวิญญาณเสด็จจากฟ้าดั่งนกพิราบสถิตอยู่บนพระองค์ 
เราเองหาได้รู้จักพระองค์ไม่  แต่พระองค์ผู้ได้ทรงใช้เรามาให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ  
พระองค์นั้นตรัสแก่เราว่าเมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จมาสถิตอยู่บนผู้ใดผู้นั้นแหละเป็นผู้ที่จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  
เราได้เห็นจึงเป็นพยานว่าพระองค์นั้นแหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า” 
(โยฮัน 1:33-34)
73. 
เมื่อพระองค์ได้เริ่มต้นกระทำพระราชกิจของพระองค์  พระเยซูได้ทรงเลือก 12 คน 
ใช้ชีวิตที่หลากหลายเพื่อฝึกฝนให้เป็นอัครสาวกเพื่อเป็นผู้นำพลไพร่ของพระองค์ 
พระองค์ทรงทราบว่าไม่ช้าพระองค์จะกลับไปยังพระบิดาในสวรรค์  
พระเยซูได้ประทานพระวิญญาณเพื่อทรงนำอัครสาวกเมื่อเขาจะเทศนาและเขียนคำสอนของพระเยซูโดยไม่มีการผิดพลาด 
(โยฮัน 16:12-14) 
โดยวิธีนี้พระเจ้าได้ดลใจให้มีพระคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ใหม่อย่างสมบูรณ์ที่สุด
74. 
พระเจ้าได้ประทานฤทธิ์เดชให้พระเยซูทำการอิทธิฤทธิ์อัศจรรย์ได้  
เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  
การอัศจรรย์ครั้งแรกพระองค์ได้เปลี่ยนน้ำให้เป็นน้ำองุ่น  
พิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์มีอำนาจเหนือธรรมชาติ (โยฮัน 2:1-11) 
พระองค์ได้รักษาคนเจ็บป่วย, คนพิการ, 
คนตาบอด, พระองค์ได้ขับผีออก, 
ทรงสามารถรู้ความคิดความมุ่งหมายในใจของคน (กิจการ 2:22)
75. 
พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่าพระองค์มีฤทธิ์เดชเหนือชีวิตของมนุษย์  
พระองค์ได้ปลุกคนที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้น 
 
“เพื่อท่านจะได้เชื่อ” 
(โยฮัน 20:31) 
โดยการทำการอิทธิฤทธิ์อัศจรรย์โดยฤทธิ์เดชของพระบิดาในสวรรค์  
พระเยซูพิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า (กิจการ 
10:38-39)
76. 
พระองค์ทรงเป็นพระปรมาจารย์  
ที่ได้เทศนามากมายบางครั้งพระองค์เทศนาแก่คนเป็นจำนวนมาก  
บางครั้งพระองค์เทศนาเป็นรายบุคคล  
คำสั่งสอนที่น่ารักของพระเยซูเปรียบพระองค์เป็นผู้เลี้ยงแกะอันดีที่ยอมพลีชีวิตเพื่อฝูงแกะ 
(โยฮัน 10) ผู้เลี้ยงแกะที่ดีคือผู้ที่ยินดีทิ้งแกะ 99 
ตัวเพื่อไปตามหาแกะหนึ่งตัวที่หลงหายไป  
บทเรียนนี้สอนว่าพระเจ้ารักจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน
77. 
ในคำเทศนาของพระองค์  
พระเยซูใช้สิ่งที่เห็นกันเสมอเป็นบทเรียนสอนให้บทเรียนทางฝ่ายวิญญาณจิต  
ตัวอย่างเช่นพระองค์ใช้ดอกไม้เป็นบทเรียนสอนเรื่องความเชื่อ 
 
“ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม 
จงดูดอกไม้ที่ทุ่งนา มันงอกขึ้นอย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้ายเหนื่อย 29 
แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซะโลโมเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศีก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง 
30 
แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างไรซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ 
โอผู้ที่มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ”
(มัดธาย 6:28-30)
78. 
แม้ว่าคนธรรมดารักพระเยซู  แต่ผู้นำศาสนายิวอิจฉาและเกลียดชังพระองค์  
พวกเขาตระหนักดีว่าความชอบธรรมของพระเยซูจะทำให้อำนาจของเขาถูกสั่นคลอนพวกเขาคิดว่าพระเยซูสนใจด้านการเมืองและจะมาตั้งอาณาจักรฝ่ายโลกนี้  
บรรดาผู้นำยุยงประชาชนให้ต่อต้านพระองค์และฆ่าพระองค์ (มาระโก 15:9-14) 
พวกเขาไม่ตระหนักเลยว่าพวกเขาช่วยทำให้โครงการของพระเยซูที่จะยอมสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปประสบความสำเร็จ
79. 
พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าไม่มีความบาป (เฮ็บราย 4:15) 
เพราะฉะนั้นพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะยอมสละชีวิตเพื่อเป็นค่าไถ่บาปของมนุษย์  
ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์พระองค์ได้ยอมให้พระเยซูเป็นค่าไถ่บาปแทนมนุษย์ทุกคนที่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  
เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นกษัตริย์ พระเยซูตรัสว่า “พระเยซูตรัสแก่เขาว่า 
"เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต 
ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา” (โยฮัน 14:6)
80. 
พระเยซูยอมทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน  
เพื่อความบาปของมนุษย์พระเยซูทำให้คำพยากรณ์ของยะซายาประสบความสำเร็จ 
 
“ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นความเจ็บปวดของเราเองที่เขาผู้นั้นรับแบกหาม 
ฝ่ายเราก็ถือว่าเขาถูกพระเจ้าโบยตีจึงมีความทุกข์  
เขาผู้นั้นถูกเจ็บเป็นบาดแผลก็เพราะการล่วงละเมิดของพวกเราและถูกฟกช้ำก็เพราะความอสัตย์อธรรมของพวกเรา 
การลงโทษเพื่อให้เกิดความสุขแก่พวกเราไปตกอยู่กับเขาผู้นั้นและที่พวกเราหายเป็นปกติได้ก็เพราะรอยแผลเฆี่ยนของเขาผู้นั้น” 
(ยะซายา 53:4-5) 
ขณะที่พวกฝูงชนได้พากันร้องตะโกนประณามพระเยซู พระเยซูได้อธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้าฯ 
ขอโปรดยกโทษให้พวกเขาด้วยเพราะเขาไม่รู้ว่าเขาได้ทำอะไร” 
พวกยิวเหล่านี้ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าว่าพวกยิวเป็นอันมากจะยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด 
(กิจการ 2:36-41)
81. 
เพื่อปฏิบัติตามประเพณีของพวกยิว  
ในบ่ายวันนั้นพวกทหารจะมาทุบกระดูกเพื่อให้คนที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนจะตายก่อนวันซะบาโตของพวกยิวจะเริ่มขึ้น  
ตอน 6โมงเย็น  
เพราะเขาพบว่าพระเยซูได้สิ้นพระชนม์แล้วเขาจึงไม่ได้ทุบกระดูกของพระองค์  
ทำให้คำพยากรณ์สำเร็จเกี่ยวกับพระมาซีฮา 
 
“พระอัฐิของพระองค์สักอันหนึ่งเขาจะไม่ทำให้หักเลย” 
(โยฮัน 19:36) 
แต่ทหารได้ใช้หอกแทงที่สีข้างของพระเยซูพระโลหิตของพระองค์หลั่งไหลเพื่อความบาปของเราทั้งหลาย 
(โยฮัน 19:31-37) 
วงการแพทย์อธิบายว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูปลงพระทัยยอมสิ้นพระชนม์เป็นการแบกบาปโทษของมวลมนุษย์ทั้งหลาย
82. 
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน  
เป็นการสิ้นสุดยุคที่สองของประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์  
และบัญญัติของพระคัมภีร์เดิม  ในการศึกษาในยุคของโมเซเราเรียนรู้เกี่ยวกับชนชาติยิศราเอลวนเวียนอยู่ในในป่า, 
ภูเขาซีนาย, พลับพลา, 
แผ่นดินคะนาอัน, ยุคผู้วินิจฉัย, 
ยุคของกษัตริย์, ยุคอาณาจักรแบ่งแยก, 
ศาสดาพยากรณ์และพระกำเนิดของพระเยซู, 
และพระราชกิจของพระองค์
83. 
บทเรียนตอนต่อไปเราจะเรียนรู้เรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู  
การเสด็จขึ้นสวรรค์กลับไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ และการมาถึงยุคคริสเตียน
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1TrFuyqujX9Ft7gR_PEeZExZ338PENG2NPUrLReFeXgw/viewform
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1TrFuyqujX9Ft7gR_PEeZExZ338PENG2NPUrLReFeXgw/viewform
