ยุคคริสเตียน ภาคสอง
40. ในช่วงของคริสตจักรศตวรรษแรก พระเจ้าได้ทรงดลใจให้คนของพระองค์บันทึกข้อความต่างๆโดยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ในพระคัมภีร์อย่างถูกต้องแม่นยำ เพื่อสั่งสอนบุตรของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่า คริสตจักรของพระคริสต์จะตั้งอยู่เป็นนิตย์เพราะฉะนั้นพระองค์จึงป้องกันไม่ให้มีการผิดพลาดใดๆในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น พระเจ้าต้องการบุตรของพระองค์ทุกยุคให้ปฏิบัติตามแบบแผนของพระองค์อย่างเดียวกัน (2เปโตร 1:15-16, 21) เมื่อข้อเขียนแต่ละคนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า คริสตจักรยุคแรกเป็นอำนาจเด็ดขาดขั้นสูงสุด (โกโลซาย 4:16) พระคัมภีร์ใหม่ประกอบด้วยแบบแผนของพระเจ้าสำหรับคริสตจักร เป็นแบบแผนที่สมบูรณ์และได้ส่งต่อๆไปตามหมู่ประชุมต่างๆหลายร้อยปีก่อนที่จะมีการประดิษฐ์แท่นพิมพ์เกิดขึ้น
41. 
ย้อนกลับไปในยุคของโมเซ  หลายศตวรรษก่อนคริสตจักร  
พระคำของพระเจ้าเป็นอำนาจเด็ดขาดขั้นสูงสุด  
เหมือนกับการที่พระเจ้าได้กำหนดแบบแผนในการสร้างพลับพลาในพระคัมภีร์เดิมฉันใด  
พระเจ้าต้องการให้เราปฏิบัติตามแบบแผนที่พระเจ้าประทานให้ในพระคัมภีร์ใหม่สำหรับคริสตจักรของพระองค์ฉันนั้น  
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตามถ้ามีกลุ่มชนปฏิบัติตามแบบพิมพ์เขียวของพระเจ้าสำหรับคริสตจักร  
คนกลุ่มนี้ไม่ใช่เป็นนิกายที่มนุษย์ตั้งขึ้นแต่เป็นคริสตจักรดั้งเดิม  
เป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ (เฮ็บราย 8:5-6)
42. 
แบบแผนของพระเจ้าสำหรับคริสตจักร  
มีประเด็นที่เด่นชัดหลายอย่างที่กำหนดไว้ในสมัยของอัครสาวกตามแบบเหมือนที่พระเยซูได้กำหนดเอาไว้  
ประการแรก ให้เราพิจารณาเครื่องหมายเริ่มต้น  
ความจริงเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของคริสตจักร ไม่มีสถาบันมนุษย์อื่นใดแอบอ้างได้  
ใครเป็นผู้ตั้งคริสตจักร?  คริสตจักรตั้งที่ไหน?  คริสตจักรตั้งเมื่อใด?  
คริสตจักรใช้ชื่ออะไร? พระคัมภีร์ใหม่ได้ให้คำตอบเราทุกประการ
43. 
เครื่องหมายสำคัญที่โดดเด่นของคริสตจักรตั้งแต่เริ่มต้น  
คือว่าพระเยซูพระองค์เองเป็นผู้ตั้งคริสตจักร  
เราจำได้ตอนที่พระองค์ได้สัญญาแก่อัครสาวกของพระองค์ 
 
“บนศิลานี้เราจะตั้งคริสตจักรของเราไว้” 
(มัดธาย16:18) 
พระเยซูได้รักษาคำสัญญาของพระองค์และได้ตั้งคริสตจักรของพระองค์ขึ้น  
พระองค์ลงทุนตั้งคริสตจักรด้วยพระโลหิตของพระองค์  
สมาชิกของคริสตจักรพวกแรกได้แก่อัครสาวก  และพวกยิว 3,000 
คน ที่ได้รับบัพติศมาในวันเพ็นเตคอส (กิจการ 2:41-42) 
คนที่รักพระเจ้าไม่ต้องการคริสตจักรอื่นของมนุษย์  
เขาต้องการคริสตจักรที่พระเยซูได้ตั้งขึ้นครั้งแรกในศตวรรษแรก  
คริสตจักรอื่นที่มนุษย์ตั้งขึ้นไม่สำคัญ
44. 
หลายปีผ่านมา  มีศาสนาและนิกายต่างๆได้เกิดขึ้นตามเมืองต่างในโลก  
คริสตจักรของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ตั้งขึ้นที่กรุงยะรูซาเล็มในศตวรรษแรก  
ตามที่ผู้พยากรณ์ของพระเจ้าได้พยากรณ์ไว้ (ยะซายา 2:2-3) 
หลังจากที่คริสตจักรได้ตั้งขึ้นได้ไม่นานคริสเตียนถูกข่มเหงจึงต้องหนีออกไปจากกรุงยะรูซาเล็ม  
เมื่อพวกเขาไปที่ไหนก็ตามเขาได้ตั้งคริสตจักรขึ้น  
ตามแบบแผนของคริสตจักรแรกที่กรุงยะรูซาเล็ม  
เป็นไปได้ไหมในปัจจุบันนี้เราสามารถตั้งคริสตจักรตามแบบแผนดั้งเดิมที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่?
45. 
เครื่องหมายของคริสตจักรแท้ตามแบบดั้งเดิม  
อีกประการหนึ่งคือว่าพระเยซูได้ฟื้นคืนพระชนม์เป็นประมุขของคริสตจักรแต่ผู้เดียวเท่านั้น  
หลังจากที่พระเจ้าได้ปลุกให้พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ 
 
“พระองค์ได้ทรงปราบสิ่งสารพัดทั้งปวงลงไว้ใต้พระบาทของพระองค์ 
และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร”
(เอเฟโซ 1:22) 
ที่แท้แน่นอนว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น  
พระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นประมุขของคริสตจักร (เอเฟโซ 5:23) 
พระเจ้าไม่ให้มีมนุษย์คนใดหรือกลุ่มชนกลุ่มใดในโลกนี้เป็นประมุขของคริสตจักรของพระคริสต์
46. 
คริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าสามารถบ่งบอกได้โดยวิธีการเริ่มต้นครั้งแรก  
การเริ่มต้นครั้งแรกเป็นเครื่องหมายโดยความจริงที่เด่นชัด  
ซึ่งไม่เหมือนกับสถาบันศาสนาอื่นๆคือ 
พระเยซูเป็นประมุขของคริสตจักร  
สถานที่คือกรุงยะรูซาเล็ม เวลาคือประมาณ
ค.ศ.33 
ประมุขของคริสตจักรคือพระเยซูคริสต์  ชื่อของคริสตจักรคือคริสตจักรของพระคริสต์
47.การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้ติดตามพระเยซูคริสต์  
ในกายเดียวกันทางด้านศาสนาเป็นลักษณะของคริสตจักรยุคแรก  
และยังคงเป็นแบบแผนของพระเจ้าสำหรับคริสตจักรในปัจจุบันนี้  
ความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้นั่นก็คือว่าสมัยแรกไม่มีนิกายเกิดขึ้นเหมือนปัจจุบันนี้ที่มีนิกายมากมายที่เกิดขึ้น  
พระคัมภีร์ใหม่ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าอัครสาวกและคริสเตียนทั้งหลายเป็นสมาชิกในคริสตจักรเดียวกัน
48. 
ในศตวรรษแรก  พระกิตติคุณได้เผยแพร่ไปทั่วอาณาจักรโรมันคริสเตียนบางคนกระจัดกระจายไปเพราะถูกข่มเหงบ้างก็เดินทางไปด้วยความตั้งใจแต่พวกเขาทั้งหลายได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็ตาม 
(กิจการ 8:1-4,โรม 
15:19-21) จากนั้นไม่นานคริสเตียนทั้งหลายได้รวมตัวกันเป็นหมู่ประชุมต่างๆที่เมืองเอเฟโซ 
เมืองเธซะโลนิเก และตามเมืองต่างๆอีกมากมาย  คริสเตียนตามหมู่ประชุมต่างๆเหล่านี้เปาโลเขียนจดหมายบอกว่า
“จงคำนับซึ่งกันและกันด้วยกิริยาจุบอันบริสุทธิ์ 
บรรดาคริสตจักรของพระคริสต์ขอคำนับท่านทั้งหลายด้วย” 
(โรม 16:16) 
หมู่ประชุมต่างๆเหล่านี้มีความเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนอย่างเดียวกัน  
พวกเขาไม่ได้ชื่อต่างกันไป  
หมู่ประชุมแต่ละกลุ่มไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในความรัก 
และความเชื่อเขาทั้งหมดรวมกันเป็นคริสตจักรเดียวในโลกนี้  (1โกรินโธ 16:1, 
1:10)
49. 
ตอนที่พระเยซูกำลังเผชิญกับความตายบนไม้กางเขน  
พระองค์ได้อธิษฐานด้วยใจร้อนรนเพื่อให้ผู้เชื่อทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระองค์  
ในคำอธิษฐานพระองค์ได้วิงวอนว่า 
 
“ข้าพเจ้ามิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว 
แต่เพื่อคนทั้งหลายที่วางใจในข้าพเจ้าเพราะคำของเขา  
เพื่อเขาทั้งหลายจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนพระองค์คือพระบิดาสถิตอยู่ในข้าพเจ้าและข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์และกับข้าพเจ้าด้วย 
เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา  
เกียรติยศซึ่งพระองค์ได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้า 
ข้าพเจ้าได้ให้แก่เขาเพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนพระองค์กับข้าพเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น”
(โยฮัน 17:20-22) 
พระเยซูต้องการให้บุตรของพระเจ้าทุกคนตราบใดที่โลกยังตั้งอยู่ให้พวกเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวในคริสตจักรของพระองค์
50. 
พระเยซูได้เตือนพวกยิวว่า  แผ่นดินใดๆที่เกิดแตกแยกกันแล้วแผ่นดินของพระคริสต์ 
คริสตจักร พระเยซูได้ตรัสว่า
 
“จะมีฝูงแกะฝูงเดียวและมีผู้เลี้ยงแกะผู้เดียว” 
(โยฮัน 10:16) ในศตวรรษแรกคริสเตียนรวมกันเป็นฝูงเดียว  
โดยมีพระเยซูเป็นผู้เลี้ยงผู้เดียว  แต่ปัจจุบันนี้มีนิกายประมาณ 250 
นิกายที่มีความเชื่อต่างกัน บัพติสมาต่างกัน และมีคำสอนที่ขัดแย้งซึ่งกันและกัน  
แม้ว่าแต่ละนิกายสอนความจริงบางอย่างบ้างและได้กระทำการดีบ้าง 
การแตกแยกเป็นนิกายต่างๆในยุคปัจจุบันขัดต่อคำอธิษฐานของพระเยซูในการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดอกหรือ?
51.ระบบการปกครองของคริสตจักร  
ตามแบบแผนของพระเจ้าได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ใหม่  ปัจจุบันนี้คริสเตียนทั่วโลกจัดระบบการปกครองของคริสตจักรท้องถิ่นตามแบบแผนที่เป็นความจริงตามแบบพระคัมภีร์ 
โดยการปฏิบัติตามแนวทางที่พระเจ้าได้ประทานให้ในพระคัมภีร์  
แนวทางของพระเจ้าเป็นอย่างไร?
52. 
ประการแรก พระคัมภีร์สอนว่า  พระเยซูเป็นประมุขของคริสตจักร (โกโลซาย 2:18) 
ประการที่สอง เราเรียนรู้ว่าหมู่ประชุมที่มีความพร้อมที่จะจัดระบบการปกครอง  
หมู่ประชุมประกอบด้วยผู้ปกครอง มีมัคนายก ครูสอน นักเทศน์ และสมาชิกอื่นๆ (เอเฟโซ 4:11-12, 
ฟิลิปปอย 1:1) 
ตามคำสอนของพระคัมภีร์ไม่มีการยกย่องคนหนึ่งคนใดให้อยู่ในอำนาจเหนือคนอื่น  
แต่ทั้งหมดถือว่าเป็นพี่น้องกันหมดในครอบครัวของพระเจ้า (1เปโตร 4:8-11, 
5:1-5)
53. 
ในพระคัมภีร์ใหม่  
คริสตจักรท้องถิ่นระบบการปกครองต้องประกอบด้วยผู้ปกครองมากกว่าสองคนขึ้นไปไม่ใช่คนเดียว 
(กิจการ 14:23) 
บุรุษที่มีคุณสมบัติเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ปกครองได้  
นี่เป็นตำแหน่งอันสำคัญที่มีความรับผิดชอบสูงในหมู่ประชุมคริสตจักรท้องถิ่น (1ติโมเธียว 
3) พระคัมภีร์ใหม่เรียกผู้ปกครองหลายลักษณะเช่น “ศิษยาภิบาล”
“ผู้ดูแล” และ “เจ้าอธิการ” 
(1เปโตร 5:1-4, กิจการ 10:17, 28) 
คำเหล่านี้ไม่ใช่บรรยายตำแหน่งแต่บรรยายถึงคุณสมบัติของผู้ปกครองและหน้าที่รับผิดชอบที่เขาจะต้องปฏิบัติ  
ในอดีตและปัจจุบันพระเจ้าไม่อนุญาตให้ยกย่องให้คนมียศมีตำแหน่งทางศาสนา  
และสวมใส่ชุดพิเศษเพื่อยกย่องคนเหล่านี้ให้มีตำแหน่งสูงกว่าสมาชิกธรรมดา (มัดธาย 23:1-12) 
ผู้ปกครองถูกแต่งตั้งให้มีหน้าที่ดูแลคริสตจักรท้องถิ่นของตนเองเพื่อให้เป็นไปตามบัญญัติของพระเจ้า 
 และมีความรับผิดชอบต่อสมาชิกทุกคน  ขณะเดียวกันสมาชิกทุกคนต้องเชื่อฟังผู้ปกครอง (เฮ็บราย 
13:17)
54. 
มัคนายกในคริสตจักรท้องถิ่น  ปรนนิบัติรับใช้ภายใต้ผู้ปกครองอีกต่อหนึ่ง  
และเป็นผู้ช่วยผู้ปกครองในภารกิจต่างๆในคริสตจักร  
เพื่อผู้ปกครองจะมีเวลาดูแลความต้องการฝ่ายวิญญาณจิตของสมาชิก (กิจการ 6:1-7) 
ภาพนี้แสดงให้เห็นผู้ปกครองแต่งตั้งมัคนายกเพื่อมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลช่วยเหลือแม่ม่ายและเด็กกำพร้า  
ตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ใน 1ติโมเธียว3 
ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นมัคนายกจะต้องเป็นบุรุษที่เป็นคริสเตียนที่ถวายตัวและมีคุณสมบัติเพื่อจะทำหน้าที่นี้
55. 
ในพระคัมภีร์ใหม่  นักเทศน์ทำหน้าที่ในการเทศนาพระคำของพระเจ้า  
เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐเขาได้ชื่อว่าเป็น 
 
“ผู้เผยแพร่” 
พระเจ้าไม่เคยอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าพิเศษสำหรับนักเทศน์  
และยกย่องให้มียศศักดิ์ให้เป็น “Reverend”
(ผู้บริสุทธิ์) หรือ “ศิษยาภิบาล” 
เป็นการยกย่องนักเทศน์เหนือสมาชิก  คำว่า “Reverend”
(ผู้บริสุทธิ์) ในพระคัมภีร์ใช้กับพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว 
(บทเพลงสรรเสริญ 111:9) ความแตกต่างของคริสเตียนอยู่ที่หน้าที่รับผิดชอบ  
เพราะผู้ปกครองมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อพระเจ้าเกี่ยวกับทุกสิ่งที่สอนสมาชิก  
นักเทศน์รับใช้ภายใต้ผู้ปกครองของคริสตจักรท้องถิ่น (กิจการ 20:28) 
พระเจ้าเตือนให้ผู้ปกครองระมัดระวังโดยพระคำของพระเจ้าให้ต่อต้านผู้สอนเท็จ  
และนักเทศน์ที่สอนเท็จ  (กิจการ 20:29-31, 
ติโต 1:9-11)
56. 
ครูสอนพระคัมภีร์  ในคริสตจักรท้องถิ่นมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่ภายใต้ผู้ปกครอง  
อย่างไรก็ตามพระเจ้าเรียกร้องให้คริสเตียนทุกคนเป็นครูสอนพระคัมภีร์ (เฮ็บราย 5:12) 
พระคัมภีร์สอนว่าสมาชิกของคริสตจักรยุคแรก  “...กระจัดกระจายไปก็ได้เที่ยวไปประกาศพระคำนั้น” 
(กิจการ 8:4) 
เพราะสมาชิกทุกคนประกาศพระคำของพระเจ้ากับผู้อื่น 
ทำให้คริสตจักรยุคแรกเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว  พระเจ้าคาดหวังให้คริสเตียนในปัจจุบันนี้ปฏิบัติตามตัวอย่างของเขา
57. 
โปรดจำไว้ว่าพระเจ้าได้ประทานแบบแผนในการจัดระบบการปกครองอย่างเที่ยงตรงตามที่พระเจ้าต้องการ  
พระเยซูเป็นประมุขของคริสตจักรทั้งในสวรรค์และในแผ่นดินโลกแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น  
เพราะฉะนั้นสวรรค์จึงเป็นสำนักงานกลางของคริสตจักรของพระคริสต์เท่านั้น  
คริสตจักรท้องถิ่นแต่ละแห่งมีหน้าที่แต่งตั้งผู้ปกครองซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อพระเจ้าสำหรับจิตวิญญาณของของมัคนายก 
ครูสอนพระคัมภีร์ นักเทศน์ และสมาชิก 
พระเจ้าคาดหวังให้ผู้ที่ได้รับความรอดแล้วทำการในคริสตจักรท้องถิ่นในระบบการปกครองของตามแบบแผนที่พระเจ้ากำหนดไว้ 
(กิจการ 9:26-28) 
ไม่มีคริสเตียนที่ลาจากคริสตจักรแล้วยังเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าได้
58. 
ชื่อของพระเจ้าสำหรับคริสตจักรของพระองค์  
และชื่อของสมาชิกพระเจ้าทรงเป็นผู้เลือกโดยพระองค์เอง  
น่าแปลกใจที่พระเจ้าไม่ได้ใช้ชื่อเฉพาะสำหรับคริสตจักรของพระองค์  
อย่างไรก็ตามเมื่อพระคัมภีร์กล่าวถึงคริสตจักรพระเจ้าได้เลือกวลีพิเศษ  
เพื่อชี้ให้เห็นคุณลักษณะที่เด่นชัดของคริสตจักร
59. 
พระเจ้าเรียกคริสตจักรของพระองค์ว่า 
 
“คริสตจักรของพระเจ้า” 
 “คริสตจักรเริ่มแรก” “คริสตจักรของพระคริสต์”
“พระกายของพระคริสต์” “เจ้าสาวของพระคริสต์”
“ครอบครัวของพระเจ้า” 
โปรดสังเกตว่าวลีเหล่านี้ถึงอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิตของพระเจ้า  
โปรดสังเกตอีกว่าวลีที่พระคัมภีร์ใช้เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ยกย่องสรรเสริญพระเจ้าและพระบุตรของพระเจ้า  
เพราะฉะนั้นพระเจ้าได้เลือกวลีเหล่านี้เพื่อบ่งบอกให้เห็นคริสตจักรของพระองค์
60. 
พระเจ้าเรียกชื่อพลไพร่ของพระองค์ว่า 
 
“คริสเตียน”
“สิทธชน” “บุตรของพระเจ้า” “สาวก” 
“ปุโรหิต” และ “พี่น้อง”
คำว่า “คริสเตียน” 
เป็นเครื่องหมายบ่งบอกให้ทราบว่าพระเยซูเป็นเจ้าของ  คริสเตียนทุกคนเป็น “สิทธชน” 
เพราะความบาปของเขาทั้งหลายได้ถูกลบล้างไปแล้ว (1โกรินโธ 6:9-11) 
เขาเป็น “บุตรของพระเจ้า” 
เพราะว่าเขาได้บังเกิดใหม่ (1เปโตร 1:22-23, ฆะลาเตีย 
3:26-27) เขาเป็น “สาวก” 
เพราะเขาเป็นผู้ที่จะต้องเรียนรู้ต่อไปเพื่อติดตามพระเยซู (กิจการ 11:19-21, 26) 
เขาเป็น “ปุโรหิต” 
ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าโดยตรงทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์เป็นมหาปุโรหิต (1เปโตร 2:5) 
พระเยซูกับคริสเตียนทั้งหลายเป็น “พี่น้องกัน” 
เพราะเขาทั้งหลายเป็นบุตรของพระบิดาเจ้าแห่งสวรรค์ (เฮ็บราย 2:10-11, 
1เปโตร 2:17, 1โยฮัน 3:13-15) 
ผู้เหล่านั้นที่ติดตามแบบแผนของพระเจ้าจะได้ความเคารพ 
ชื่นชมกับถ้อยคำเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงเลือกแทนที่จะใช้ชื่อตามนิกายต่างๆ
61. 
กฎแห่งความเชื่อสำหรับคริสตจักรของพระเจ้า  
เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งตามแบบแผนของพระเจ้า  
หลายศตวรรษก่อนที่จะมีหนังสือคำสอนของนิกายต่างๆ  
พระเจ้าได้กำหนดมาตรฐานกฎแห่งความเชื่อสำหรับพลไพร่ของพระองค์ (ฆะลาเตีย 1:6-9) 
คริสเตียนยุคแรกได้รับการทรงนำโดยคำสอนของพระเยซูเท่านั้น  
ซึ่งคำสอนของพระเยซูได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่
62. 
ในคำอุปมาเรื่องคนหว่านพืช  พระคำของพระเจ้าสำคัญมากเพราะเป็นกฎแห่งความเชื่อ (มัดธาย 
13:3-23) 
ซึ่งเราสามารถเข้าใจได้ชัดจากคำสอนของพระเยซูที่สอนว่า “เมล็ดพันธุ์พืชคือพระคำของพระเจ้า” 
(ลูกา 8:11) เพราะฉะนั้นคริสตจักรจะเกิดขึ้นได้ก็โดยการที่คริสเตียนปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้า  
ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์พืชแห่งแผ่นดินของพระเจ้า  
พระคัมภีร์ใหม่เป็นกฎแห่งความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าบัญญัติไว้สำหรับพลไพร่ของพระองค์ 
(2ติโมเธียว 3:16-4:4)
63. 
การนมัสการเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้า  
ท่านทราบไหมว่าพระเจ้าได้บอกพลไพร่ของพระองค์คือคริสตจักรต้องนมัสการพระองค์อย่างไร?  
คริสเตียนในปัจจุบันนี้ควรนมัสการพระองค์ตามแบบแผนที่พระองค์ได้บัญญัติไว้ตั้งแต่คริสตจักรยุคแรกตามที่บรรยายไว้ในพระคัมภีร์ใหม่  
ตามความหมายของคำว่า
 
“นมัสการ” 
หมายถึงการ “ยกย่องสรรเสริญ” คริสเตียนต้องนมัสการตามที่แบบที่พระเจ้าตรัส  
เพื่อสำแดงความรัก ยกย่องสรรเสริญพระองค์ด้วยใจบริสุทธิ์แก่พระเจ้าผู้ทรงสร้าง (โยฮัน 
4:23-24)
64. 
ตัวอย่างที่เราได้เห็นการนมัสการในยุคบรรพบุรุษ  บุตรชายของอาดามคือคายินกับเฮเบลได้นำเครื่องบูชามาถวายพระเจ้า  
พระเจ้าทรงรับเครื่องบูชาของเฮเบลที่เป็นแกะ  
แต่พระเจ้าปฏิเสธเครื่องบูชาของคายินที่เป็น 
“ผลผลิตที่มาจากไร่นา” พระคัมภีร์บอกว่า
“โดยความเชื่อ”  เฮเบลได้นำเครื่องบูชาที่ประเสริฐกว่า 
แสดงว่าเฮเบลได้ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้า  
ส่วนคายินไม่ได้ปฏิบัติคำสั่งของพระเจ้า (เฮ็บราย 11:4)
65. 
ในยุคของโมเซ  มีเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นกับปุโรหิตสองคน  นาดาบกับอะบีฮู  
ทั้งสองนมัสการพระเจ้าด้วยการจุดไฟเผาเครื่องหอมพระเจ้าเห็นว่าเขาทั้งสองไม่เคารพพระเจ้า  
ไม่เชื่อฟังพระองค์โดยการนำไฟจากที่อื่นซึ่งพระเจ้าไม่ได้สั่ง  
แทนที่เขาทั้งสองนำไฟจากที่พระเจ้าสั่งเขาทั้งสองได้นำ 
“ไฟจากที่อื่นมา”  ผลของการไม่เชื่อฟังพระองค์โดยการนำไฟจากที่อื่นซึ่งพระเจ้าไม่ได้สั่ง  
แทนที่เขาทั้งสองนำไฟจากพระที่พระเจ้าสั่งเขาทั้งสองได้นำ “ไฟจากที่อื่นมา”
ผลของการไม่เชื่อฟังมีไฟจากสวรรค์เผาทั้งสองถึงแก่ชีวิต (เลวีติโก 
10:1-3) 
ความรักที่แท้จริงและการสรรเสริญพระเจ้าจะสำแดงด้วยการเชื่อฟังตามน้ำพระทัยของพระองค์  
และให้ความเคารพในการเลือกของพระองค์เกี่ยวกับการนมัสการ (โยฮัน 14:15)
66. 
พระเจ้าได้จัดให้มีการนมัสการในยุคคริสเตียน 
 
: 
พิธีระลึก ศึกษาพระคัมภีร์ อธิษฐาน การร้องเพลง และการถวายทรัพย์ 
เพราะพระเจ้าพระองค์เองได้เลือกวิธีนมัสการของหมู่ประชุมร่วมกันเพื่อให้คริสเตียนสำแดงความรักต่อพระเจ้า  
พระองค์จะไม่ยอมรับสิ่งทดแทนอื่นๆอย่างเด็ดขาด  พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านรักเราท่านจะประพฤติตามบัญญัติของเรา” 
(โยฮัน 14:15) ให้เราพิจารณาการนมัสการแต่ละอย่าง
67. 
ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์  ขณะที่พระองค์รับประทานอาหารกับพวกสาวกของพระองค์  
พระเยซูได้ตั้งพิธีระลึกขึ้น  
ได้ประทานขนมปังไม่มีเชื้อให้พวกเขารับประทานเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงพระกายของพระองค์  
และส่งน้ำองุ่นให้พวกเขาดื่มเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงพระโลหิตของพระองค์  
พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า 
 
“จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา” 
(ลูกา 22:19-20) 
หลังจากที่คริสตจักรได้ตั้งขึ้นแล้วพวกสาวกได้ปฏิบัติตามแบบแผนของพระเยซู  
พวกสาวกได้มาร่วมประชุมกันทุกวันอาทิตย์เพื่อทำพิธีระลึก (กิจการ 20:7) 
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าคริสเตียนยุคแรกได้ทำพิธีระลึกกันทุกวันอาทิตย์โดยไม่เว้นจนมีการเปลี่ยนแปลงหลายศตวรรษภายหลัง
68. 
เพราะฉะนั้นปัจจุบันนี้คริสเตียนทุกคนควรทำพิธีระลึกทุกวันอาทิตย์  
เมื่อกินขนมปังและผลแห่งต้นองุ่น  คริสเตียนระลึกถึงพระกายและระลึกถึงพระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งไหลเพื่อลบล้างความบาปของเรา  
(1โกรินโธ 11:23-39) 
คนที่ปฏิบัติตามแบบแผนของพระเจ้า  จะให้ความเคารพน้ำพระทัยของพระเยซูด้วยการทำพิธีระลึกร่วมกับพี่น้องคริสเตียนทุกวันอาทิตย์ 
(1โกรินโธ 11:20-29)
69. 
การศึกษาพระคัมภีร์  โดยการอ่าน, 
การฟังคำเทศนา 
และการสอนพระคำของพระเจ้าเป็นแบบแผนที่พระเจ้ากำหนดไว้ในการนมัสการพระองค์ในที่ประชุมร่วมกัน 
(กิจการ 20:7) 
โดยพระคัมภีร์เป็นพระคำที่ได้รับการดลใจเท่ากับพระเจ้าทรงตรัสแก่มนุษย์ (1โกรินโธ 
14:37) 
การนมัสการพระเจ้าด้วยการศึกษาพระคำของพระเจ้าเป็นการถวายเกียรติยศแก่พระเจ้าด้วยการฟังพระดำรัสจากพระเจ้า  
ในเวลาอย่างนี้ควรจะเป็นเวลาที่เราสำรวมตั้งใจให้ความเคารพพระสุรเสียงของของพระเจ้า  
คริสเตียนที่แท้จริงควรศึกษาพระคัมภีร์ประจำทุกวัน
70. 
การอธิษฐานเป็นอีกส่วนหนึ่งของการนมัสการ  คริสเตียนเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยการขอบคุณ 
ด้วยการเสนอความปรารถนาและอธิษฐานเพื่อคนอื่น (ฟิลิปปอย 4:6-7) 
ในขณะที่เรากำลังอธิษฐานเราควรสำนึกว่าเรากำลังสนทนากับพระเจ้า (ฟิลิปปอย 1:3-4) 
เพราะพระเยซูแต่เพียงผู้เดียวเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ดังนั้นคำอธิษฐานของเราจะต้องอธิษฐานในพระนามของพระเยซูจึงจะเป็นไปตามแบบแผนของพระเจ้า 
(1ติโมเธียว 2:5) นอกเหนือจากการที่คริสเตียนอธิษฐานร่วมกันในที่ประชุมแล้วคริสเตียนควรอธิษฐานส่วนตัวทุกวัน
71. 
พระเจ้าได้เลือกการร้องเพลงด้วยปาก  เป็นเสียงดนตรีที่พระเจ้าปรารถนาให้คริสเตียนนมัสการพระองค์แบบนั้น  
ในขณะที่คริสเตียนร้องเพลง  
ความคิดฝ่ายวิญญาณจากเพลงสรรเสริญควรจะหลั่งไหลออกมาจากใจขึ้นไปถึงพระเจ้า (โกโลซาย 
3:16) 
การร้องเพลงออกมาด้วยจิตวิญญาณไม่ใช่เพียงแค่ถวายเกียรติยศแด่พระเจ้าตามที่พระองค์ทรงเลือกด้วยวิธีนี้เท่านั้น  
แต่การร้องเพลงเป็นการปลอบใจ ทำให้ใจสงบ และเป็นแรงดลใจแก่ดวงจิตของผู้นมัสการ  
แม้ว่าขณะทำภารกิจคริสเตียนได้รับการหนุนใจด้วยการร้องเพลงสรรเสริญ
72. 
แบบแผนในการนมัสการในวันอาทิตย์  รวมถึงการถวายทรัพย์  
การถวายทรัพย์เป็นสิทธิในการที่เราจะแบ่งพระพรอันมากมายที่พระเจ้าประทานให้เราคืนให้พระองค์ 
(1โกรินโธ 16:1-2)  
คริสเตียนที่แท้จริงจะมีความรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าไม่ใช่เฉพาะความรอดที่เราได้รับเท่านั้นแต่รวมพระพรด้านวัตถุสิ่งของต่างๆด้วย  
เพราะฉะนั้นคริสเตียนมีแรงบันดาลใจในการถวายทรัพย์อย่างเต็มที่และด้วยความชื่นชมยินดี  
เขารู้ว่าการถวายทรัพย์ทุกอาทิตย์เป็นวิธีหนึ่งในการพิสูจน์ความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้ารวมทั้งยินดีที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในการได้ฟังข่าวประเสริฐ 
ของพระเยซูและพบกับความรอด (2โกรินโธ 8:6-9, 
9:6-7)
73. 
โปรดจำไว้ว่าวิธีการในการนมัสการทั้ง 5 ประการดังกล่าว  
เป็นแบบแผนการนมัสการที่พระเจ้าเป็นผู้กำหนดเอาไว้  พิธีระลึก การศึกษาพระคัมภีร์ 
การอธิษฐาน การร้องเพลง การถวายทรัพย์ 
เพราะฉะนั้นทุกคนที่ปรารถนาจะนมัสการพระเจ้าและถวายเกียรติยศแก่พระองค์จะปฏิบัติตามแบบแผนที่พระเจ้ากำหนดเอาไว้สมบูรณ์ที่สุด
74.  
“ความหวังที่เราทั้งหลายประกาศตัวรับไว้แล้วนั้น 
ให้เราถือไว้ให้มั่นคง อย่าให้ยิ่งๆ หย่อนๆ ไป 
เพราะว่าพระองค์ผู้ได้ทรงสัญญานั้นสัตย์ซื่อ  และให้เราพิจารณาดูกันและกัน 
เพื่อเป็นเหตุให้บังเกิดใจรักซึ่งกันและกันและกระทำการดี  
ซึ่งเราเคยประชุมกันนั้นอย่าให้หยุด เหมือนอย่างบางคนเคยกระทำนั้น แต่จงเตือนสติกัน 
และให้มากยิ่งขึ้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นวันเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว”
(เฮ็บราย 10:23-25)  
เมื่อใดก็ตามที่คริสตจักรท้องถิ่นมีการประชุม คริสเตียนทุกคนควรไปร่วมประชุมด้วยคนที่รักพระเจ้าที่แท้จริงจะไม่ขาดการประชุมนมัสการ
75. 
เงื่อนไขในการเป็นสมาชิก  
หรือหลักเกณฑ์ที่จะเข้าไปในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิตของพระเจ้า  
ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ใหม่  
บรรดาผู้เชื่อพระเจ้าทั้งหลายจะต้องปฏิบัติตามแบบแผนของพระเจ้าที่กำหนดไว้ในพระคัมภีร์ไม่มากไม่น้อยกว่าที่พระคัมภีร์สั่งสอน  
คนที่เป็นคริสเตียนเป็นสมาชิกในคริสตจักรของพระเยซูคริสต์  ได้อย่างไร?  คริสเตียนทุกคนควรมีความสามารถที่จะตอบคำถามนี้ได้ด้วยการตอบตามที่พระเจ้าสอนไว้ในพระคัมภีร์ใหม่
76. คริสเตียนผู้นี้ได้สำแดงให้เห็นวิธีที่จะช่วย  
ให้คนเข้าใจว่าคนอื่นจะเป็นสมาชิกในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร?  
ท่านผู้นี้เน้นให้เห็นว่าบันใดก้าวแรกที่จำเป็นคือจะต้องมีความเชื่อเป็นรากฐานอันสำคัญในการเชื่อฟังพระเยซู  
ความเชื่อที่เข้มแข็งจะนำไปสู่การกลับใจเสียใหม่, 
สารภาพความเชื่อในพระเยซู, และรับบัพติศมาเข้าส่วนในความตายกับพระเยซูคริสต์  
ผู้ที่ถวายชีวิตให้พระเยซูทั้งหมดและปฏิบัติตามเงื่อนไขของพระเจ้า  
มีหลักประกันว่าพระเจ้าจะทรงโปรดยกบาปโทษของเขาและนับเขาเข้าส่วนในคริสตจักรของพระองค์ 
(กิจการ 2:47) 
โดยพระคุณและความรักของพระเจ้าคนจะสามารถได้รับความรอดได้
77.  
“ความเชื่อในพระคริสต์”
เป็นเงื่อนไขสำหรับทุกคนที่ต้องการได้รับความรอดและได้รับพระพรในคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ 
(โยฮัน 8:24) 
พระกิตติคุณที่ได้เปิดเผยโครงการแห่งความรอดของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่จะทำให้มนุษย์รอดได้แต่แก่คนที่เชื่อจริงๆเท่านั้น 
(โรม 1:16) 
ความเชื่อชนิดหมดหัวใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้นจะสามารถนำพาให้คนกลับใจบังเกิดใหม่จริงๆโดยการถวายตัวตามน้ำพระทัยของพระเยซูจริงๆ 
(ฆะลาเตีย 3:26-27)
78. 
การกลับใจเสียใหม่เป็นไปตามธรรมชาติและเป็นก้าวของการเจริญเติบโต  
ความเชื่อในพระเยซูคริสต์  
เมื่อเราเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักและได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ยอมตายเพื่อความบาปของตัวของเขาเอง  
เขาจะรู้สึกเสียใจกับความบาปของตัวเองและการตัดสินใจที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย 
(2โกรินโธ 7:10) 
การกลับใจเสียใหม่เป็นการตัดสินใจที่จะหันไปจากความบาปและกลับไปหาพระเจ้าเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระเจ้าไม่ว่าจะต้องลงทุนมากสักเท่าใดก็ตาม  
เพราะมนุษย์ทิ้งพระเจ้า 
เพราะความไม่เชื่อฟังเขาจะต้องกลับมาหาพระเจ้าด้วยการเชื่อฟัง  
โดยการกลับใจเสี่ยใหม่เรากำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้พระเจ้า  
การกลับใจเสียใหม่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น  
ไม่ใช่ทำแล้วก็เสร็จสิ้นทิ้งไว้เบื้องหลัง  
ท่าทีของการกลับใจเสียใหม่จะติดอยู่ในใจของผู้ที่เป็นคริสเตียนแท้ตลอดทั้งชีวิต (ลูกา 
24:47)
79. 
ความเชื่อที่แท้และการกลับใจที่จริงใจ  
จะเป็นแรงจูงใจให้เขาสารภาพความเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์บุตรของพระเจ้า 
 
“คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า 
และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงโปรดบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด  ด้วยว่าซึ่งมีใจเชื่อก็เป็นการชอบธรรม และซึ่งรับด้วยปากก็เป็นที่รอด”
(โรม 10:9-10) 
การสารภาพที่สำแดงให้เห็นว่าเขาผู้นั้นจะจงรักภักดีต่อพระเยซูคริสต์เจ้านายคนใหม่ของเขา 
(1ติโมเธียว 6:12-16)
80. 
บันไดข้างบนสุดคือการ 
“รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์” 
ที่เห็นเป็นสีแดงเตือนให้เราทราบว่าความบาปของเราจะถูกลบล้างไปก็โดยพระโลหิตของพระเยซูเท่านั้น 
(เฮ็บราย 9:12-14) บัพติศมาเป็นการเติบโตจากความเชื่อ  
การที่บัพติศมาจะถูกต้องบุคคลนั้นจะต้องมีความเชื่อก่อนรับบัพติศมา  
เพื่อพระโลหิตของพระเยซูจะได้ทรงชำระความบาป ความเชื่อหลังรับบัพติศมาว่าพระโลหิตของพระเยซูช่วยให้เขารอด 
(กิจการ 8:36-39, โรม 6:3-4,
17-18)
81. 
สุดท้ายภารกิจของคริสตจักรของพระคริสต์คืออะไร  ในขณะอยู่บนโลกนี้?  
เพราะพระเยซูได้ประทานชีวิตของพระองค์ให้คริสตจักรภารกิจของคริสตจักรจะต้องโดดเด่น  
และสูงส่ง  และบริสุทธิ์ซึ่งไม่สามารถกระทำให้สำเร็จได้โดยองค์กรของมนุษย์ใดๆ
82. 
ภารกิจของคริสตจักรที่แท้จริง  สามารถมองเห็นได้จากการที่เปาโลได้เห็นศุภนิมิตจากชาวมากะโดเนียอ้อนวอนว่า
“ขอโปรดมาช่วยพวกข้าพเจ้าในเมืองมากะโดเนียเถิด”
 เปาโลได้ตอบคำอ้อนวอนนี้ด้วยการไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูได้เสียสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปและได้รับชีวิตนิรันดรกับพระเจ้า 
(กิจการ 16:6-10) 
ภารกิจนี้คริสตจักรสามารถกระทำให้สำเร็จได้ (มัดธาย 26:19-20, 
กิจการ 8:4)
83. 
แบบแผนของพระเจ้าสำหรับคริสตจักรท้องถิ่น  การนมัสการ หลักคำสอน กฎแห่งความเชื่อ 
การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, 
ระบบการปกครอง, ชื่อของคริสตจักร และภารกิจของคริสตจักร, 
ผู้ใดที่อยู่ในชุมชนที่ไม่มีคริสตจักรตามแบบแผนของพระเจ้า 
ผู้นั้นก็สามารถเริ่มต้นคริสตจักรที่แท้โดยปฏิบัติตามพระคัมภีร์ใหม่  
แม้กระทั่งภายในครอบครัวของตัวเอง  
นี่ไม่ใช่เป็นการตั้งนิกายใหม่แต่เป็นคริสตจักรตามพระคัมภีร์เท่านั้นเหมือนกับคริสตจักรยุคแรกในสมัยของอัครสาวก
84. เราจะจบด้วยความคิดที่สำคัญมาก เหมือนที่พวกอัครสาวกได้เห็นพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ท่ามกลางก้อนเมฆเพื่อกับไปยังพระบิดา ทูตสวรรค์ได้สัญญากับอัครสาวกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีก (กิจการ 1:10-11) ภายหลังอัครสาวกโยฮันได้กล่าวว่า “พระองค์จะเสด็จมาในเมฆและนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์” (วิวรณ์ 1:7) โดยความรักและความเมตตาของพระเจ้าพระองค์ได้ทรงจัดสรรทางแห่งความรอดให้แก่ทุกคนโดยพระเยซูคริสต์และคริสตจักรของพระองค์ (วิวรณ์ 1:5-6) ในยุคคริสเตียนในปัจจุบันเราทุกคนจะต้องเลือกตัดสินใจว่าจะไปใช้ชีวิตนิรันดรที่ไหน? (2โกรินโธ 5:10) ถ้าเราไม่ได้เตรียมตัวเมื่อพระเยซูจะเสด็จกลับมาผู้ที่สมควรถูกประณามคือตัวเราเอง (เฮ็บราย 2:3)
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1ZsP0twGRyNZpbIou-PjZyKDNGtlRXNg5rB6sncVzFok/viewform
