บทที่7



โครงการของพระเจ้าในการไถ่โทษบาปของมนุษย์ ภาคแรก

1. การศึกษาพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน  ทำให้เราทั้งหลายเห็นความต้องการที่จะได้รับความรอดโดยพระโลหิตของพระเยซูและมีความกระหายอยากจะใกล้ชิดกับพระเจ้า  บทเรียนนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้นักศึกษาทุกคนโดยพระเมตตาของพระเจ้าจะบรรลุสิ่งที่เราต้องการได้
 

2. มีคำถามหลายประการที่ขัดแย้งกัน  ซึ่งตอบโดยมนุษย์ เช่น “ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดจึงจะได้รับความรอด” แต่คำตอบที่แน่นอนมีอันเดียวเท่านั้นคือคำตอบที่มาจากพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูตรัสว่า “....ไม่มีผู้ไปถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา”  (โยฮัน 14:6)
 

3. “โครงการไถ่โทษบาปของพระเจ้าแก่มนุษย์” ภาคแรก  เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณจิตเพื่อไปถึงชีวิตนิรันดร  พระเจ้าเป็นผู้จัดสรรและได้เปิดเผยโครงการในการไถ่โทษบาปของมนุษย์โดยการยอมพลีพระชนม์ของพระเยซู  ถ้าพระเยซูไม่ยอมพลีพระชนม์เป็นเครื่องบูชามนุษย์ทั้งโลกจะพินาศโดยไม่มีความหวัง (กิจการ 4:11-12) เพราะการถวายเครื่องบูชาอันสูงสุดได้ประทานให้แล้วแก่มนุษย์ทุกคน  ถ้าคนยังหลงอยู่ในความบาปเขาจะตำหนิใครไม่ได้นอกจากตัวเอง  (เฮ็บราย 2:3)
 

4. ครั้งหนึ่งเล่าเรื่องผู้เลี้ยงที่ดี  มีแกะตัวหนึ่งหลงหายไปเขาเป็นห่วงแกะหนึ่งตัวที่หลงหายไปจึงละแกะ 99 ตัวเพื่อติดตามหาแกะหนึ่งตัวที่หายไป  เมื่อพบแล้วก็พากลับมาด้วยความยินดีกับมิตรสหาย (ลูกา 15:3-7) พระคัมภีร์สอนว่า “เราทั้งหลายเปรียบเหมือนแกะที่หลงหายไป” (ยะซายา 53:6) มนุษย์หลงหายไปจากพระเจ้าเพราะความบาปของตน (เอเฟโซ 2:1-2)
 

5. พระเยซูผู้เลี้ยงอันดี  พระองค์ห่วงใยเมื่อแกะหนึ่งคนของพระองค์หลงหายไปเพราะความบาป  พระองค์ห่วงใยสถานะภาพฝ่ายวิญญาณจิตของเราทั้งหลาย  พระองค์ห่วงใยมากจนกระทั่งยอมพลีพระชนม์ของพระองค์ (โยฮัน 10:11-15) ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์พระองค์ได้ตรัสสั่งให้บรรดาผู้ติดตามพระองค์นำข่าวแห่งความรอดไปประกาศแก่ผู้อื่น (กิจการ 1:8) คริสเตียนควรกระตือรือร้นในการนำคนอื่นมาถึงพระคริสต์  ผู้เลี้ยงอันดีเมื่อคนที่หลงหายไปในความบาปกลับใจกลับมาแม้ทูตสวรรค์ก็มีความยินดี  พระเยซูตรัสว่า “จะมีความยินดีในสวรรค์เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจเสียใหม่” (ลูกา 15:7)
 

6. อีกครั้งหนึ่งพระเยซูได้สำแดงความห่วงใยคนบาป  ที่หลงหายโดยการใช้เด็กๆเป็นอุทาหรณ์ให้เห็นว่ามนุษย์จะได้รับการไถ่โทษบาปได้อย่างไร  พระเยซูทรงตรัสว่า “เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายตามจริงว่าถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย” (มัดธาย 18:3) จากเรื่องราวนี้พระเยซูหมายความว่าเมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่โทษบาปแล้วเขาก็บริสุทธิ์และใจสะอาดเหมือนเด็กเล็กๆเรื่องนี้ก็สำแดงให้เห็นว่าคนมีอายุมากพอที่จะตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด  เขาต้องการรับการไถ่โทษบาป  ทารกรอดแล้วไม่มีบาปเพราะฉะนั้นจำเป็นที่พระเจ้าจัดโครงการไถ่โทษบาปให้เด็กทารก
 

7. พระเจ้าได้ตรัสว่า “จิตวิญญาณที่กระทำบาป จิตวิญญาณนั้นจะตายแลบุตรจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบิดานั้น บิดาจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบุตรนั้น ความชอบธรรมแห่งผู้ชอบธรรมจะอยู่ในตัวเอง ความชั่วแห่งคนชั่วจะอยู่ในตัวเอง” (ยะเอศเคล 18:20)  เพราะทารกไม่สามารถสืบทอดความบาปจากบิดาของตนดังนั้นเด็กไม่สามารถสืบทอดความบาปจากอาดามได้  ความบาปไม่เป็นมรดกตกทอด  ความบาปเกิดขึ้นก็เพราะมนุษย์เอกที่จะทำบาปเองแทนที่จะเลือกทำสิ่งที่ถูก  ทารกไม่มีอำนาจในการเลือกถูกผิดเพราะฉะนั้นทารกจึงไม่มีความบาป  คนจะทำบาปก็ต่อเมื่อเขาเติบโตมากขึ้น  สามารถเลือกว่าอะไรถูกอะไรผิด
 

8. คนจำนวนมากใช้ชีวิตผูกโซ่ตรวนอยู่ในความบาป  เขาเลือกที่จะทำในสิ่งที่ผิดแทนที่จะทำในสิ่งที่ถูกเขามีความรู้สึกมีความผิดติดตัว  แต่เขาไม่เคยเรียนรู้ว่าจะขจัดความบาปออกไปได้อย่างไร  คนมีเหตุผลย่อมตระหนักดีว่าไม่มีมิตรสหายในโลกนี้สามารถแบกบาปโทษเพื่อเขาได้  และไม่ต้องคิดเลยว่ามนุษย์จะสร้างกุศลเพื่อความรอดของตนเองได้ (โรม 3:23, ติโต 3:5) สิ่งนี้สะท้อนให้คนที่มีเหตุผลตระหนักดีว่าโดยพระเมตตาของพระเจ้าเท่านั้นที่จะชำระบาปของมนุษย์ได้  ที่จะพ้นจากบาปได้ก็ต้องเรียนรู้จักที่จะรอดพ้นจากบาปก็โดยพระเยซูคริสต์ (โรม 7 :24-25) พระเยซูตรัสว่า “และท่านทั้งหลายจะรู้จักความจริงและความจริงนั้นจะกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไทย” (โยฮัน 8:32)
 

9. ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ ได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อเป็นค่าไถ่บาปของเราทั้งหลาย (โยฮัน 3:16) บ้างรับของประทานจากพระเจ้าด้วยความเต็มใจ บ้างก็มีความสงสัย บ้างก็ปฏิเสธพระองค์ปัดทิ้งความหวังและชีวิตนิรันดรออกไป (กิจการ 13:42-49)
 

10. เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะรู้จักพระองค์  และยอมรับว่าพระองค์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า  และเป็นพระผู้ช่วยให้รอดองค์เดียวเท่านั้น  พระเยซูได้ทำการอิทธิฤทธิ์อัศจรรย์มากมายขณะอยู่บนโลกนี้  การอัศจรรย์ครั้งแรกเกิดขึ้นในงานสมรสซึ่งพระองค์ได้เปลี่ยนน้ำให้เป็นน้ำองุ่น (โยฮัน 2:1-11) นี่เป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์มีอำนาจเหนือขบวนการธรรมชาติ

11. ภายหลัง พระผู้ช่วยให้รอดผู้มีพระทัยเมตตา  ได้เลี้ยงคน 5,000 คน ด้วยขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว (มาระโก 6:34-44) พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเพิ่มอาหารเล็กน้อยให้มีอาหารเป็นจำนวนมากได้
 

12. พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่ามีอำนาจเหนือกฎการโน้มถ่วงได้โดยการที่พระองค์ทรงดำเนินบนผิวน้ำเพื่อเดินขึ้นบนเรือกับอัครสาวก (มัดธาย 14:24-27)
 

13. เมื่อพระเยซูกับสาวก ได้เผชิญกับลมพายุที่รุนแรง  พวกสาวกกลัวจะเสียชีวิตแต่พระเยซูได้ตื่นขึ้นจากหลับทรงห้ามลมพายุโดยตรัสว่า “จงสงบนิ่ง” ลมพายุและคลื่นในทะเลก็ฟังคำสั่งของพระบุตรของพระเจ้าและสงบนิ่งทันที (มาระโก 4:37-41) แม้คลื่นลมและทะเลเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์
 

14. การอัศจรรย์ต่างๆที่พระเยซูได้ทรงกระทำ  ซึ่งทำให้ผู้ติดตามพระองค์รักพระองค์คือการมหัศจรรย์ที่พระองค์ได้รักษาคนเจ็บป่วยและคนที่มีโรคเบียดเบียน (มัดธาย 4:23-25) การอัศจรรย์เหล่านี้ยืนยันให้เห็นความเมตตาสงสารของพระองค์แด่คนที่มีความทุกข์ยาก (มัดธาย 8:16-17)
 

15. พระเยซูได้ทรงรักษาคนตาบอดให้มองเห็นได้หลายครั้ง  (มัดธาย 11:4-5) พระองค์ได้รักษาคนตาบอดตั้งแต่เกิด (โยฮัน 3:1-7)
 

16. พระองค์ได้ทรงรักษาคนเจ็บป่วย คนเป็นง่อย คนเป็นใบ้ คนพิการ และคนวิกลจริต ชายคนหนึ่งเป็นคนง่อยเป็นเวลา 38 ปี พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “จงลุกขึ้นยกที่นอนของเดินไปเถิด” ในทันใดนั้นคนนั้นก็หายโรคเป็นปกติ (โยฮัน 5:5-11) แม้ว่าพระเยซูคนป่วยด้านร่างกายมากมายพระองค์สนใจจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนมากที่สุด (มัดธาย 18:11-14)
 

17. ฤทธิ์อำนาจของพระเยซูอยู่เหนือหลุมฝังศพ  ในโลกฝ่ายวิญญาณจิตมีคนเป็นจำนวนมากได้เห็นพระองค์ปลุกคนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืนชีวิตครั้งหนึ่งพระองค์ปลุกลาซะโรให้ฟื้นขึ้นจากตายหลังจากตายไปแล้ว 4 วัน (โยฮัน 11:1-45) ในการอัศจรรย์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์มีฤทธิ์อำนาจเอาชนะความตายได้  การที่พระเยซูเอาชนะเหนือความตายเป็นหลักประกันให้เรามีความหวังว่าเราจะเป็นขึ้นจากตายเข้าสู่ชีวิตนิรันดรกับพระเจ้า (1เปโตร 1:3-4)
 

18. การพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะเกิดขึ้น  ก่อนภารกิจของพระองค์จะสิ้นสุดลงพระองค์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์และชัยชนะเหนืออำนาจความตายด้วยการฟื้นคืนพระชนม์  พระองค์ตรัสว่า “นี่แน่ะเราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงยะรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับปุโรหิตใหญ่และพวกอาลักษณ์และเขาจะปรับโทษท่านถึงตาย และจะมอบท่านไว้กับคนต่างประเทศ  คนต่างประเทศนั้นจะเยาะเย้ยท่าน ถ่มน้ำลายรดท่าน จะเฆี่ยนตีท่านและจะฆ่าท่านเสีย และสามวันล่วงแล้วท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” (มาระโก 10:33-34) อัครสาวกได้ยินแล้วก็พากันเศร้าโศก
 

19. หลังจากนั้นยูดาอิศอาริโอศ  อัครสาวกของพระเยซูคนหนึ่งได้ทรยศต่อพระองค์ให้ตกอยู่ในมือของศัตรูด้วยการให้สัญญาณด้วยการจุบยูดาได้ทรยศมอบพระเยซูด้วยเงิน 30 แผ่น ให้แก่ผู้นำยิวทั้งหลาย (มัดธาย 26:47-50, โยฮัน 18:2-3) พวกทหารได้จุดคบเพลิงพากันมาพร้อมด้วยอาวุธครบมือพากันมาเพื่อจะจับพระเยซู
 

20. เพราะพระเยซูได้ตรัสไว้เกี่ยวกับอาณาจักรของพระองค์ในตอนแรกๆ  พวกทหารได้เยาะเย้ยพระองค์และเอาเสื้อสีแดงเข้มสวมพระองค์เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมศีรษะพระองค์  พวกเขาล้อเลียนและก้มศีรษะเยาะเย้ยพระองค์ว่า “กษัตริย์ชาติยูดาย ขอให้ทรงพระเจริญ” (มัดธาย 27:29) ตลอดทั้งคืนวันนั้นพระเยซูได้ถูกคุมตัวไปในที่ประชุมพิพากษาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  พระองค์ได้ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม (มาระโก 14:53-15:15)

21. เช้าวันรุ่งขึ้นองค์พระผู้เป็นเจ้าถูกนำไปต่อหน้าปีลาตซึ่งเป็นเจ้าเมืองแห่งกรุงโรม  ปีลาตรู้แน่ชัดว่าพระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์  เมื่อปีลาตพยายามอ้อนวอนฝูงชนชาวยิวว่า  พระเยซูบริสุทธิ์ไม่ได้ทำผิด  ฝูงชนได้พากันส่งเสียงตะโกนให้ “ตรึงเขาเสีย, ตรึงเขาเสีย”  ปีลาตไม่มีจุดยืนด้านศีลธรรมเป็นของตัวเองที่จะขัดขวางพวกยิว  ปีลาตจึงสั่งให้ตรึงพระเยซู (มัดธาย 27:15-30)
 

22.ขณะที่กระบวนการประหารกำลังเดินไป  พระเยซูกำลังถูกนำไปตรึงไว้ที่บนกางเขนนอกเมืองสถานที่ตรงนั้นเรียกว่า โฆละโฆธา ครั้งแรกพระเยซูแบกไม้กางเขนไปด้วยพระองค์เอง  หลังจากนั้นซีโมนชาวกุเรเนได้ถูกเกณฑ์ให้แบกกางเขนแทนพระองค์
 

23. เมื่อถึงโฆละโฆธา  พวกนักประหารได้จับพระเยซูขึงติดกับไม้กางเขนแล้วตอกตะปูลงบนฝ่ามือทั้งสองข้างของพระองค์  เสียงการตอกตะปูที่แทงลงไปบนเนื้อหนังผ่านทะลุไปถึงไม้กางเขนสามารถได้ยินเสียงดังเมื่อตอกตะปูทำให้เจ็บปวดแสนสาหัส  แล้วเขาได้ยกไม้กางเขนทิ้งลงไปในหลุมตั้งไม้กางเขนขึ้น  พระกายพระบุตรของพระเจ้าถูกแรงถ่วงกดน้ำหนักลงไปที่ตะปู  พระเยซูทรงทราบว่าวิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นจากอำนาจของซาตานและพ้นจากความบาปก็โดยการที่พระองค์ต้องทน ทุกข์ทรมานและยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคน  พระองค์ต้องทนอดทนต่อความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนก็เพื่อพระองค์จะได้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งหลาย  (มัดธาย 10:4-7, 12:1-2)
 

24. เมื่อเรามโนภาพดูพระบุตรของพระเจ้า  ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน  เราสามารถมองเห็นความบาปมีผลกระทบรุนแรงมาก  มนุษย์ที่กระทำบาปไม่สามารถช่วยตัวเองให้พ้นจากบาปได้  (เอเฟโซ 2:8,12) การเผาสัตว์ถวายเป็นเครื่องบูชาทั้งหลายในพระคัมภีร์เดิม ต่างก็ชี้มาถึงเครื่องบูชาที่สมบูรณ์ที่สุด  (เฮ็บราย 10:1-10) ผู้ที่บริสุทธิ์และปราศจากบาปของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าเท่านั้นสามารถชำระล้างความบาปของมนุษย์ไปได้นับตั้งแต่อาดามถึงยุคสุดท้าย
 

25.พระเยซู, พระคริสต์  เดี๋ยวนี้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว  พระวรกายของพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพของสหายของพระองค์  เพราะพระเยซูได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะฟื้นขึ้นจากตาย  พวกยิวได้ประทับตราของโรมเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเปิดอุโมงค์ (มัดธาย 27:62-66) มีทหารโรมเฝ้าที่อุโมงค์ด้วย  เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ ดูเหมือนว่าซาตานชนะพระองค์และทำให้การพลีพระชนม์เป็นเครื่องบูชาไม่มีความหมายเลย (1โกรินโธ 15:12-20)
 

26. อย่างไรก็ตามเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่  ที่ได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์หลังจากสามวันพระเยซูได้เสด็จฟื้นคืนพระชนม์ (ลูกา 26:1-24) การฟื้นคืนพระชนม์ทำให้คำพยากรณ์ของพระองค์สำเร็จ  พระองค์ได้ทำลายอำนาจของความตาย  และได้พิสูจน์ชั่วนิรันดรว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  พระผู้ช่วยให้รอดของโลก (โรม 1:4) เป็นเวลา 40 วันพระเยซูได้ปรากฏตัวหลายครั้งแก่พวกสาวกของพระองค์เพื่อสำแดงให้พวกสาวกโดยไม่สงสัยว่าพระองค์ได้ฟื้นคืนพระชนม์ (กิจการ 1 และ 2)
 

27. หลังจากที่ได้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์เป้นพระบุตรของพระเจ้า  โดยการที่พระองค์ได้ฟื้นคืนพระชนม์  พระองค์ได้ตรัสสั่งผู้ติดตามพระองค์ให้ออกไปประกาศแก่ชาวโลกทั้งหลายเรื่องโครงการไถ่บาปแก่มนุษย์ทั้งหลาย “ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน  ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอดแต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ” (มาระโก 16:15-16) หลังจากนั้นไม่กี่วันพระเยซูและและสาวกของพระองค์ได้ขึ้นไปบนภูเขามะกอกเทศใกล้กรุงยะรูซเล็ม  พระองค์สั่งให้พวกอัครสาวกไปคอยอยู่ที่กรุงยะรูซาเล็มจนกว่าจะได้รับฤทธิ์เดชพระวิญญาณบริสุทธิ์  แล้วพระองค์ก็ได้ขึ้นสวรรค์ (กิจการ 1:4-11)
 

28. สิบวันหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ไปหาพระบิดา  พวกอัครสาวกได้ปฏิบัติตามคำตรัสสั่งของพระเยซู  ในวันเทศกาลเพ็นเตคอสของพวกยิวที่กรุงยะรูซาเล็มพวกอัครสาวกได้รับฤทธิ์เดชพระวิญญาณบริสุทธิ์  เปิดโอกาสครั้งแรกให้พวกอัครสาวกประกาศเรื่องโครงการแห่งความรอด  เปโตรได้ยืนขึ้นต่อหน้าฝูงชนเป็นอันมาก  เปโตรได้ยกคำพยากรณ์จากพระคัมภีร์เดิมเพื่อชี้ให้เห็นว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดตามคำสัญญา  การสิ้นพระชนม์ การฟื้นคืนพระชนม์และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ทั้งหมดเป็นโครงการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  เปโตรได้ท้าทายต่อหน้าฝูงชนด้วยถ้อยคำต่อไปนี้ (กิจการ2)
 

29. “เหตุฉะนั้นให้ชาติยิศราเอลทั้งปวงทราบแน่นอนว่าพระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูนี้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขนตั้งขึ้นให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์” (กิจการ 2:36)
 

30. “เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจจึงกล่าวแก่เปโตรและอัครสาวกอื่นว่า "พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไร"” (กิจการ 2:37) ในเวลานั้นฝูงชนได้มีความเชื่ออย่างมั่นคงว่าผู้ที่พวกเขาได้ตรึงบนไม้กางเขนแท้จริงพระองค์เป็นพระคริสต์  พวกเขาจึงถามเปโตรว่าพวกเขาควรทำประการใด

31. “ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า จงกลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมาในนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคนเพื่อความผิดบาปของท่านจะทรงยกเสีย แล้วท่านจะได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์” (กิจการ 2:38) เราไม่แปลกคำตอบของเปโตร  เพราะพระเยซูได้ตรัสสั่งพวกอัครสาวกให้ประกาศว่า “ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วจะรอด” ในวันนั้นมีชาวยิว 3,000 คน รับบัพติศมาพวกเขาได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์
 

32. พวกยิวถามว่า “พี่น้องทั้งเอ๋ยเราจะทำประการใด” ในบรรดาคำถามทั้งหลาย  คำถามนี้เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด  เพราะพระเยซูได้ลงทุนด้วยค่าราคาแพงบนไม้กางเขนเพื่อลบล้างความผิดบาปของเราแล้ว  ยังมีอะไรอีกหรือที่เราจะต้องทำ?  คำถามคือว่า “เราจะทำประการใด?” ถูกถามและตอบหลายครั้งในพระคัมภีร์ใหม่  คำตอบที่เสมอต้นเสมอปลายสำแดงให้เห็นว่ามนุษย์จะลงทุนไม่ใช่อยู่นิ่งเฉยในการรับพระคุณของพระเจ้าในการไถ่โทษบาป
 

33. คำถาม “เราจะทำประการใด?” เซาโลแห่งเมืองตาระโซได้ถามคำถามเดียวกันนี้ก่อนกลับใจเป็นคริสเตียน  เซาโลนับถือลัทธิยูดายซึ่งบิดามารดาได้เลี้ยงดูเขามา  เซาโลเหมือนกับผู้ที่กลับใจมาเชื่อพระเยซูคนอื่นๆ ในที่สุดเขาจะเห็นความจำเป็นในการเปลี่ยนศาสนาเดิม  ซึ่งขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า  ก่อนที่เซาโลจะเป็นคริสเตียนเขาเป็นผู้ที่ถือลัทธิยูดายอย่างเคร่งครัด  ความร้อนรนทำให้เขาเป็นผู้นำของลัทธิยูดาย และได้ข่มเหงพวกคริสเตียน (ฆะลาเตีย 1:13-44)
 

34. ด้วยความเกรงกลัวเซาโลและพวกยิว  พวกคริสเตียนต้องนมัสการพระเจ้ากันอย่างลับๆ  พวกเขารู้ว่าชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย  ทุกครั้งที่พวกเขามาร่วมประชุมกัน  แต่ความรักความจงรักภักดีที่มีต่อพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทำให้เขามีความกล้าหาญ  เซาโลมีความจริงใจและเชื่อว่าพระเจ้าพอพระทัยการกระทำของเขาด้วยการจับพวกคริสเตียนไปขังคุกและทำลายชีวิตของพวกเขา  (กิจการ 26:9-11)
 

35. ตั้งแต่เริ่มต้นที่เซาโลเป็นผู้ข่มเหงคริสเตียน  “เซาโลประทุษร้ายคริสตจักร” (กิจการ8) เมื่อกลุ่มพวกยิวที่กระหายเลือดโกรธซะเตฟาโนได้พากันเอาก้อนหินขว้างเขาจนตาย  ซะเตฟาโนเป็นคนแรกที่พลีชีวิต  เพราะความเชื่อเป็นคนแรกและเซาโลเป็นหัวหน้าในการนี้  เาโลเป็นผู้ถือเสื้อผ้าของพวกอันธพาลที่เอาก้อนหินขว้างซะเตฟาโนถึงแก่ความตาย (กิจการ 7:57-8:3)
 

36. แต่ในไม่ช้าเซาโลต้องเผชิญหน้ากับพระเยซู  เพราะการที่เขาได้ข่มเหงผู้ติดตามพระองค์  เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อเซาโลเป็นหัวหน้านำคนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปไกล 150 ไมล์ที่เมืองดาเมเซ็กเพื่อไปจับพวกคริสเตียนมาจำคุก  ขณะที่เดินไประหว่างทางมีแสงจ้าจากฟ้าทำให้เซาโลตาบอด  เซาโลล้มลงมีพระสุรเสียงตรัสว่า  “เซาโล เซาโลเอ๋ยเจ้าข่มเหงเราทำไม?”  เซาโลถามว่า “พระองค์เป็นผู้ใด?”  พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซูที่เจ้าข่มเหงนั้น”  แล้วเซาโลถามคำถามเดียวกันกับฝูงชนในวันเพ็นเตคอส “ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดพระองค์เจ้าข้า?”  พระเยซูตรัสตอบว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าควรจะทำประการใดจะมีคนบอกให้รู้” (กิจการ 9:4-6)
 

37. มีคนจูงมือเซาโลไปยังเมืองดาเมเซ็ก  ตาของเซาโลก็มืดมัวไป  และท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรถึงสามวัน  แม้ว่าท่านเป็นผู้เชื่อที่กลับใจแล้วก็ตามแต่ยังไม่มีผู้ใดมาบอกว่าเขาควรจะทำประการใดตามที่พระเยซูได้สัญญาไว้บนถนนดาเมเซ็ก  ความบาปของเซาโลยังไม่ถูกลบล้างไปด้วยพระโลหิตของพระเยซู  (กิจการ 22:11-16)
 

38. ในที่สุดขณะที่เซาโลกำลังอธิษฐาน  องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งศิษย์คนหนึ่งชื่ออะนาเนียเพื่อวางมือบนเซาโลเพื่อเขาจะสามารถมองเห็นได้  เซาโลรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งอะนาเนียไปพบ  เขาพร้อมที่จะฟังคำตอบของพระเยซูว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด?” อะนาเนียได้ให้คำตอบขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “เดี๋ยวนี้ท่านจะรอช้าอยู่ทำไม จงลุกขึ้นรับบัพติศมาลบล้างความผิดของท่านเสีย และอธิษฐานออกพระนามของพระองค์เถิด” (กิจการ 22:16) เหมือนที่พระเยซูได้ตรัสสั่งพวกอัครสาวกตอนแรกแล้วว่า “ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติสมาแล้วผู้นั้นจะรอด” และเหมือนกับที่เปโตรได้บอกแก่คนในวันเพ็นเตคอส “จงกลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมาในนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน  เพื่อความผิดบาปของท่านจะยกเสีย”

39. เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราจะสามารถได้รับการชำระความบาปของเราเหมือนที่เซาโลแห่งเมืองตาระโซ และฝูงชนในวันเพ็นเตคอสพระคัมภีร์สอนว่า พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด (กิจการ 10:34) ความเชื่อและการเชื่อฟังเป็นเงื่อนไขที่พระเจ้าให้กับเซาโลในการกลับใจบังเกิดใหม่  เป็นเงื่อนไขอันเดียวกันสำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นบุคคลสามารถรู้ได้ว่า ความบาปของเขาได้รับการยกโทษแล้ว  เมื่อเขายอมรับพระคุณของพระเจ้าโดยความเชื่อ และการเชื่อฟังตามน้ำพระทัยพระเจ้า ตัวอย่างในพระคัมภีร์อื่น ๆ พิสูจน์ว่า เป็นความจริง

ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1Sw9FzZuGVgoHSP6ypLvb9V8vHjxKwLbqv-pNRpGFG5A/viewform