บทที่10



ประวัติศาสตร์คริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ภาคสอง

40. เป็นเวลาหลายปีเมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์พืชพระคำของพระเจ้า  ผลที่ผลิตออกมาก็เป็นคริสตจักรตามพระคำของพระเจ้า   การปฏิบัติตามต้นแบบของพระเจ้าบรรดาคริสเตียนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในความเชื่อ และการปฏิบัติอื่นๆ ในช่วงต้นๆพระเจ้าเตือนว่า “บางคนจะทิ้งความเชื่อ” (1ติโมเธียว 4:1) พระเยซูสอนให้ “ระวังผู้พยากรณ์เท็จ”  (มัดธาย 7:15) เปาโลเตือนว่า “บางคนจะยักย้ายกิตติคุณ” (ฆะลาเตีย 1:7)
 

41. มีบางกลุ่มได้เริ่มละไปจากความเชื่อ การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ครั้งแรกเกิดขึ้นกับระบบการปกครองของคริสตจักร  เมล็ดพืชคำสอนเท็จได้หว่านโดยผู้สอนเท็จในสมัยของอัครสาวก  แล้วการเปลี่ยนแปลงก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ  เมื่อ ค.ศ. 150 ประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ออกไปจากต้นแบบของพระเจ้าเกี่ยวกับระบบการปกครองของคริสตจักร  แต่คริสเตียนส่วนน้อยยังคงสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและพระคำของพระองค์
 

42. ตามต้นแบบของพระคัมภีร์ใหม่พระเยซูเป็นประมุขของคริสตจักร (มัดธาย 28:18) คริสตจักรท้องถิ่นแต่ละแห่งมีผู้ปกครองดูแลคริสตจักร ( กิจการ 20:28 ) มัคนายก, ครู, นักเทศน์ และสมาชิกอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองประจำคริสตจักรท้องถิ่น (เฮ็บราย 13:17)
 

43. ผังนี้แสดงให้เห็นว่าคริสตจักรมีระบบการปกครองโดยที่พระเยซูเป็นประมุข  วงกลมแต่ละวงแสดงให้เห็นคริสตจักรท้องถิ่นแต่ละแห่งมีผู้ปกครองทำหน้าที่ดูแล  ผู้ปกครอง, ศิษยาภิบาล, เจ้าอธิการ หรือผู้ดูแลเป็นตำแหน่งเดียวกัน  นี่คือต้นแบบการปกครองตามพระคัมภีร์ใหม่  ซึ่งไม่มีผู้ปกครองคนใดมีอำนาจเหนือผู้ปกครองคนอื่นในคริสตจักร
 

44. หลังจากการสิ้นชีวิตของพวกอัครสาวก  มนุษย์ธรรมดาเริ่มมีขบวนการยกย่องผู้ปกครองคนหนึ่งให้  สูงกว่าผู้อื่นภายในคริสตจักร  เรียกว่า “เจ้าอธิการ” หรือ “bishop” จากจุดเริ่มต้นที่ดูเหมือนเรื่องเล็กน้อยพัฒนาต่อไปเป็นการยกย่องให้ “เจ้าอธิการ” คนเดียวมีอำนาจเหนือคริสตจักรใน มณฑลเรียกว่า “เจ้าอธิการภาค”
 

45. ในที่สุดบรรดา “เจ้าอธิการ” ทั้งหลายจากทุกแขวงได้มาร่วมประชุมกันเพื่อปรึกษาหารือแก้ไขปัญหาต่างๆ  เมื่อถึงศตวรรษที่3 ได้มีการประชุมสภาที่ปรึกษาของกลุ่ม “เจ้าอธิการภาค” ทั่วมณฑลโรมัน  จุดเริ่มต้นมีความปรารถนาดีแต่ต่อมาได้พัฒนาเป็นกฎกติกาและคำสอนของมนุษย์ขึ้น  ซึ่งต่อมาคริสตจักรต่างๆได้ใช้เป็นมาตรฐานกฎเกณฑ์และคำสอนของมนุษย์  กฎกติกาและคำสอนต่างๆเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากมนุษย์ไม่ใช่มาจากพระเยซูและไม่ใช่มาจากอัครสาวก
 

46. ในที่สุดคำสอนของมนุษย์ก็เกิดขึ้นครั้งแรก  มีจุดประสงค์เพื่อปกครองคริสเตียนทั่วโลก  คำสอนเป็นที่รู้จักกันชื่อว่า “คำสอนแห่งไนเซน” “Nicene Creed” ถูกเขียนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 325 โดยกลุ่มเจ้าอธิการประจำภาคตะวันตกของจักรวรรดิโรมัน  เมื่อพวกเจ้าอธิการทั่วโลกเหล่านี้ได้มาประชุมกัน  ที่ประชุม ณ Nicaea ใกล้ๆ Constantinople เจ้าอธิการทั่วโลกได้นัดมาประชุมกันโดยไม่มีอำนาจมาจากพระเจ้า  แต่จักรพรรดิ Constantine ได้สั่งให้มาร่วมประชุมกัน  คนเหล่านี้ได้ประชุมกันลงมติตั้งกฎของมนุษย์ขึ้นมาเพื่อควบคุมพลไพร่ของพระเจ้า  อำนาจนี้เป็นของพระเยซูแต่เพียงผู้เดียว  ซึ่งเป็นประมุขเหนือคริสตจักร
 

47. คำสอนไนเซน เป็นคำสอนของมนุษย์แรกเป็นที่ยอมรับโดยผู้นำของคริสตจักรต่างๆ ทั่วจักรวรรดิโรมัน “คริสเตียน” ที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสอนไนเซนจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก “นอกรีต”  แต่ยังมีคริสเตียนเป็นอันมากยังสัตย์ซื่อในหนทางของพระเจ้า และปฏิเสธคำสอนของมนุษย์  ในที่สุดคริสตจักรทั่วโลกส่วนมากยอมรับคำสอนของมนุษย์เกี่ยวกับโครงสร้างการปกครองของคริสตจักร  มีการละไปจาก “ทางของพระเจ้า” อีกประการหนึ่ง  ซึ่งต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นระบบการปกครองของสันตะประปา หรือโป๊ปในที่สุด
 

48. ตอนที่จักรพรรดิ Constantine  จัดการประชุมขึ้นที่ Nicaea ตอนนั้นยังไม่ยอมเป็นคริสเตียนแต่บอกว่าเป็นมิตรกับคริสเตียน  แต่มีอิทธิพลต่อคริสตจักรในเวลานั้น  ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิ Constantine สั่งให้คัดลอกพระคัมภีร์ขึ้นใหม่  ซึ่งคัดลอกด้วยมือ 50 เล่ม  แม้กระนั้นศาสนาคริสต์ไม่ได้รับการยินยอมจากรัฐบาลเสมอ
 

49. ตอนที่ Constantine ขึ้นครองบัลลังก์เมื่อศตวรรษที่ 4 คริสเตียนถูกข่มเหงอย่างรุนแรง  เพราะไม่ยอมปฏิบัติ ตามนโยบายของรัฐบาล  พวกชาวโรมันเห็นว่าแม้คริสเตียนจะถูกข่มเหงอย่างรุนแรงแต่คริสเตียนก็ยังมีความสงบและสันติสุขแม้เผชิญกับความตายก็ตาม
 

50. ในที่สุด Constantine ได้ตัดสินใจว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีพลัง  ควรจะเป็นมิตรและส่งเสริมให้คนในจักรวรรดิโรมันเป็นคริสเตียน  Constantine จึงได้ออกกฤษฎีกา เรียกว่า “กฤษฎีกามิลาน” “Edict of Milan” เมื่อปีค.ศ. 314 เป็นการยุติการข่มเหงพวกคริสเตียน  ศาสนาคริสต์จึงเป็นศาสนาที่ยอมรับเหมือนศาสนาอื่นๆในอาณาจักรโรมัน

51. Constantine เริ่มส่งเสริมศาสนาคริสต์  โดยอิทธิพลของตัวเองและโดยบำเหน็จรางวัล ทั้งเกียรติยศและความมั่งคั่งให้คริสเตียนมีตำแหน่งสูง  แต่งตั้งเจ้าอธิการของคริสตจักรให้มีอำนาจตุลากาลศาลและยกเว้นการเสียภาษีให้แก่ผู้นำคริสตจักรต่างๆ  แม้ว่า Constantine สิ้นชีวิตไปแล้วบทบาทของศาสนาคริสต์กับจักรวรรดิโรมันยังเกี่ยวข้องกันอย่างต่อเนื่อง  การเกี่ยวพันทางด้านอำนาจของคริสตจักรกับรัฐพัฒนาไปสู่การยกอำนาจคริสตจักรให้เหมือนกับโครงสร้างการปกครองเหมือนอาณาจักรโรมัน  สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้ามนุษย์พอใจใน “ทางของพระเจ้า”
 

52. แม้ว่า Constantine เองไม่ได้รับบัพติสมาจนใกล้ตาย เขาจึงรับบัพติศมา  แต่ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิเขามีอิทธิพลเหนือผู้นำคริสตจักร  เขาสามารถผลักดันศาสนาคริสต์ในสมัยนั้นให้เป็นไปตามนโยบาย  และจุดประสงค์ของตนเอง

53. โครงสร้างอำนาจการปกครองของอาณาจักรโรมันเป็นรูป  ปิระมิดโดยมีจักรพรรดิมีอำนาจสูงสุด ถัดลงมาคือ Advisors หรือที่ปรึกษาถัดลงมาคือผู้ว่าราชการอยู่ภายใต้จักรพรรดิ  พวกเหล่านี้มีอำนาจในการปกครองน้อยลงมา  โครงสร้างการปกครองแบบนี้เป็นที่ดึงดูดของผู้มีอำนาจในคริสตจักร
 

54. หลายปีต่อมาเมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างการปกครองของอาณาจักรโรมัน  จะเห็นได้ว่ามีความคล้ายกับโครงสร้างของคริสตจักร  เนื่องจากกรุงโรมเป็นศูนย์กลางของโลก  ดังนั้นพวกบาทหลวงที่อยู่ในกรุงโรมกลายเป็นผู้ที่มีอำนาจมาก  จากนั้นไม่นานบาทหลวงของคริสตจักรโรมมีอำนาจสูงสุดของคริสตจักรโรม  ในที่สุดตำแหน่งขึ้นสูงสุดคือ  “โป๊ป” หรือสันตะประปาที่ถูกยกให้มีอำนาจสูงกว่าพวกบาทหลวงทั้งหลาย ไตเติลเหล่านี้พระเยซูและอัครสาวกไม่เคยใช้
 

55. ตามผังจะเห็นว่าว่าคริสตจักรโรมันคาธอลิกตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 606 ปีนี้เป็นปีที่จักรวรรดิ์ Boniface III ได้รับไตเติลให้เป็น “โป๊ป” ของคริสตจักรคาธอลิกตั้งแต่นั้นมามนุษย์ยกย่องมนุษย์ธรรมดาตั้งให้เป็น “ประมุขของคริสตจักร”  แม้กระทั่งอัครสาวกก่อนหน้านี้ 600 ปีไม่มีใครสักคนเดียวกล้าที่จะยกย่องตัวเองมีอำนาจขนาดนั้น  แต่คริสตจักรของพระคริสต์ในระหว่างปีเหล่านั้นอยู่ที่ไหน  คริสเตียนที่สัตย์ซื่อยังคงตั้งมั่นคงอยู่  และกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป  คริสเตียนที่สัตย์ซื่อในหนทางของพระเจ้า  ถูกประณามว่าเป็นพวก “นอกรีต”
 

56. เมื่อ ค.ศ. 1054 การแตกแยกได้เกิดขึ้นในคริสตจักรคาธอลิก  ทำให้แตกแยกเป็น 2 กลุ่มคือคริสตจักรโรมและคริสตจักรกรีก Orthodox นอกจาก 2 กลุ่มมีความแตกต่างกันและกันแต่คริสตจักรโรมและกรีกออร์ธอด๊อกช ก็มีความแตกต่างจากคริสตจักรของพระคริสต์ที่พระเยซูตั้งขึ้นในสมัยของอัครสาวก  แนวโน้มการแตกออกไปจากคำสอนและระบบการปกครองตามแบบพระคัมภีร์ใหม่  ก่อนที่จะมีการแตกแยกกันของทั้งสองคริสตจักร  ขณะที่คริสตจักรโรมันยังมีอิทธิพลอยู่หลายศตวรรษ  พวกเขาได้มีคำสอนใหม่เกิดขึ้น  การปฏิบัติธรรมใหม่ๆเกิดขึ้น พิธีรีตองต่างๆเกิดขึ้นใหม่  คนที่ไม่ได้รับการดลใจปรากฏตัวขึ้นอยู่เนืองๆ
 

57. พิธีกรรมประการหนึ่งคือคำสอนเรื่อง “การไถ่บาป”   (doctrine of penance) นี่เป็นต้นกำเนิดที่มาของ การขายตั๋วล้างบาป (sale of indulgences) เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 พวกพระโรมันคาธอลิกให้คำมั่นสัญญาแก่ประชาชนว่าถ้าพวกเขาถวายทรัพย์ให้คริสตจักรจำนวนที่กำหนดไว้เขาจะไม่ต้องรับทุกข์ทรมานจากความบาป  พวกพระบาทหลวงเรียกร้องให้คนซื้อสิทธิ์ล่วงหน้าไว้ก่อน   โบสถ์ St. Peter’s Basilica ตั้งอยู่ที่กรุงโรมเป็นหลักฐานยืนยันว่าโบสถ์หลังนี้ได้ถูกสร้างขึ้นจากเงินที่ได้มาจากการขายตั๋วล้างบาปให้ประชาชน
 

58. พวกพระในคริสตจักรโรมันคาธอลิกได้ถูกยกให้เป็นตัวแทนของพระเจ้าสามารถยกโทษบาปให้มนุษย์ได้  คนจะต้องสารภาพบาปต่อพระคาธอลิกเพื่อรับการยกโทษ  พระคัมภีร์สอนว่าคริสเตียนทุกคนเป็นปุโรหิต และพระเยซูแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  และความบาปไม่ต้องสารภาพต่อพวกพระแต่สารภาพโดยตรงต่อพระเจ้า  และสารภาพต่อกันและกัน (1เปโตร 2:9, 1โยฮัน 1:7-9, 1ติโมเธียว 2:5)
 

59. ความจริงทั้งหมดได้รับการดลใจในพระคัมภีร์ก่อน ค.ศ. 100 แต่หลังจากนั้นมนุษย์ที่ไม่ได้รับการดลใจได้นำคำสอนเท็จเข้ามาเช่น การใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ พิธีฉลองการเสวยอาหารแทนพิธีระลึก การพรมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ การสละโสด ห้ามไม่ให้นักบวชแต่งงาน พิธีระลึกที่ขนมปังกลายเป็นเลือด สถานที่ทรมาน ใช้เครื่องดนตรี รับบัพติศมาด้วยการพรม นิกายโปรเตสแตนท์ได้ทำตามนิกายโรมันคาธอลิกโดยเหมาเอาว่ามาจากพระคัมภีร์
 

60. พระคัมภีร์ของพระเจ้าเตือนว่า “ฝ่ายพระวิญญาณได้ตรัสไว้โดยแจ่มแจ้งว่า ภายหลังจะมีบางคนทิ้งความเชื่อเสีย แล้วไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวงและฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ  โดยอาการหน้าซื่อใจคดของคนที่พูดปด คือ ทำไปทั้งรู้ๆ เหมือนอย่างกับเอาเหล็กแดงนาบลงไปบนใจวินิจฉัยผิดและชอบของเขา  เขาก็ห้ามไม่ให้ทำการสมรส และให้งดการรับประทานอาหารซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ประสงค์จะให้คนที่เชื่อและรู้จักความจริงรับประทานด้วยขอบพระคุณ” 1ติโมเธียว 4:1-3 พระวิญญาณบริสุทธิ์ประณามคำสอนที่ห้ามไม่ให้ทำการสมรสเพราะเป็นคำสอนเท็จ
 

61. ในช่วงยุคกลาง คริสตจักรโรมได้สั่งให้เผาพระคัมภีร์ที่เป็นภาษาของคนธรรมดา  ประวัติศาสตร์เผยว่าแม้พวกผู้นำคาธอลิกไม่ขัดขวาง  แต่พวกผู้นำเหล่านี้ก็ไม่ได้ส่งเสริมให้คนอ่านพระคัมภีร์  พวกเขาไม่สนใจที่จะให้พระคัมภีร์อยู่ในมือของคนทั่วไป

62. แต่ยังมีคนอีกมากที่กระหายที่จะศึกษาพระคัมภีร์  การกระหายศึกษาพระคัมภีร์เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลกซึ่งปูพื้นฐานในการปฏิรูปศาสนาคริสต์ในศตวรรษที่ 16 ซึ่งได้มอบพระคัมภีร์ให้คนทั่วไปเป็นภาษาของตนเอง
 

63. คริสตจักรโรมันคาธอลิกได้ขัดขวางบุคคลสำคัญที่บุกเบิกในการแปลพระคัมภีร์ให้คนทั่วไปอ่านเป็นภาษาของตนเอง  โรมันคาธอลิกได้จับคนเหล่านี้ขังคุก บ้างถูกลงโทษถึงตาย John Wycliffe เป็นคนแรกที่แปลพระคัมภีร์จากภาษาเดิมเป็นภาษาอังกฤษต้องถูกเนรเทศโดยคริสตจักรโรม  ในปีค.ศ. 1384 John Wycliffe ถึงแก่ชีวิตตามธรรมชาติ อีก44 ปีต่อมา Pope Martin V.  ได้สั่งให้ขุดกระดูกของ John Wycliffe ขึ้นมาเผาแล้วโปรยขี้เถ้าลงในแม่น้ำ Swift เพื่อแสดงให้เห็นว่าคริสตจักรคาธอลิกเกลียดชังผลงานของ John Wycliffe อย่างมาก
 

64. มีคนจำนวนน้อยที่มีพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษเป็นของตัวเองในเวลานั้น  แม้ว่าคริสตจักรคาธอลิกสั่งห้าม  แต่พวกเขาก็ต้องหลบซ่อนในการอ่านพระคัมภีร์  เมื่อพวกเขาได้อ่านพระคัมภีร์ใหม่เขาพบว่าการปฏิบัติของคริสตจักรโรมันคาธอลิกแตกต่างจากสิ่งที่พระคัมภีร์ใหม่สอน  พระเจ้าไม่ได้ให้อำนาจในการปฏิบัติสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นเอง  ในยุคนั้นบรรดาคริสเตียนได้เปิดตาสว่างขึ้นในทางฝ่ายวิญญาณจิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะมีการปฏิรูปกันยกใหญ่
 

65. เมื่อเริ่มต้นศตวรรษที่ 16 Martin Luther เป็นบาทหลวงของคริสตจักรโรมันคาธอลิก  Luther เป็นแกนนำขบวนการต่อต้านและปฏิรูปคริสตจักรโรมันคาธอลิก Luther ได้ท้านักวิชาการของคริสตจักรโรมันคาธอลิกให้อภิปรายคำสอนของคริสตจักรโรมันคาธอลิก 95 ข้อ  ซึ่งขัดกับคำสอนของพระคัมภีร์  Luther ถูกไล่ออกไปจากคริสตจักรโรมันคาธอลิก ลูเธอร์เป็นผู้ริเริ่มการปฏิรูปของพวก Protestant
 

66. แม้ว่าลูเธอร์จะถูกขัดขวางจากคริสตจักรโรมันคาธอลิก ลูเธอร์ก็ได้แปลพระคัมภีร์เป็นภาษาเยอรมัน ลูเธอร์เชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นอำนาจเด็ดขาดไม่ใช่คริสตจักรโรมันคาธอลิก  เขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนควรมีสิทธิ์ในการอ่านพระคัมภีร์  แม้ว่าลูเธอร์จะพยายามหันกลับไปปฏิบัติตามพระคัมภีร์  แต่ลูเธอร์ยังไม่ได้กลับไปปฏิรูปให้เป็นไปตามคริสตจักรตามแบบพระคัมภีร์ใหม่ ลูเธอร์ไม่มีเจตนาที่จะตั้งคริสตจักรใหม่เพียงแต่ต้องการปฏิรูปคริสตจักรโรมันคาธอลิกเท่านั้น
 

67. แต่ลูกศิษย์ของ มาร์ติน ลูเธอร์ ได้รวบรวมคำสอน    ลูเธอร์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1530 ได้ยกชูคำสอนของลูเธอร์ขึ้นเรียกว่า “Augsburg Confession” หลังจากที่ลูเธอร์ตายไปแล้ว  พวกลูกศิษย์ของเขาได้เผยแพร่คำสอนของลูเธอร์คนที่ไม่พอใจกับคริสตจักรโรมันคาธอลิกจึงแห่กันมารับคำสอนของลูเธอร์
 

68. ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้เกี่ยวกับกำเนิดของการปฏิรูป Protestant  เพราะลูกศิษย์ของลูเธอร์ได้ต่อต้านคริสตจักรโรมันคาธอลิก  พวกลูกศิษย์ของลูเธอร์จึงได้ประกาศตัวเองว่าเป็นพวก Protestant พวกนิกาย Protestant ที่ได้เกิดขึ้นมีอายุไม่เกิน 500 ปี นิกาย Protestant เหล่านี้เหมือนกับนิกายโรมันคาธอลิกได้เกิดขึ้นหลังจากที่พระเยซูได้ตั้งคริสตจักรของพระองค์ขึ้นหลายร้อยปีภายหลัง
 

69. ยุคปฏิรูปโปรเตสแตนท์ได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ บรรดาลูกศิษย์ของ Martin Luther เรียกตัวเองว่า “คณะ  Lutherans” เกิดขึ้นปลายศตวรรษที่16 เป็นนิกายที่เรียกตนเอง “คริสตจักร Lutherans” ตอนที่ Luther มีชีวิตอยู่ท่านเรียกร้องให้คนตามพระคัมภีร์ไม่ให้เรียกว่า “Lutherans” เรียกตนเอง “คริสเตียน” เท่านั้น
 

70. พวก Lutherans ปฏิเสธคำสอนของคริสตจักรโรมันคาธอลิกหลายอย่าง  พวกเขาหันกลับมาใกล้ถึง “ทางพระเจ้า”ต้นแบบฝ่ายวิญญาณจิตอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่  อย่างไรก็ตามนิกาย Lutherans ยังคงรักษาคำสอนของโรมันคาธอลิกเอาไว้  ซึ่ง Luther เองได้ปฏิเสธ  เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งเป็นคำสอนของพระเยซู และคำสอนของอัครสาวก
 

71. ต่อมา John Calvin ได้ให้กำเนิดนิกาย Presbyterian ในประเทศ Scotland   John Calvin หนีจากประเทศฝรั่งเศสไปยังประเทศ Scotland เพื่อหนีจากการข่มเหงของคริสตจักรโรมันคาธอลิก  ในฝรั่งเศส John Calvin ได้เขียนหนังสือหลายเล่มเพื่อชี้แจงเจตจำนงของการก่อตั้งขบวนการ Protestant ขึ้นในปี ค.ศ. 1536 ในที่สุดขบวนการนี้ได้ถูกเรียกว่า “คริสตจักร Presbyterian”
 

72. ทั้ง Martin Luther กับ John Calvin เป็นคนกล้าหาญการค้นหาความจริงเป็นพระพรให้แก่โลกแต่เป็นที่น่าเสียดาย  ที่บรรดาลูกศิษย์ที่ติดตามเขาทั้งสองได้ตั้งคริสตจักรนิกายขึ้นโดยใช้ชื่อของตนเอง และตามคำสอนของตนเอง  แทนที่จะกลับไปหาความจริง  ซึ่งหันกลับไป 100% ตามหน “ทางของพระเจ้า”

73. นิกาย Protestant เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  นิกายต่างๆเหล่านี้แตกแยกกันอย่างซ้ำซ้อนมากยิ่งขึ้น  แทนที่พวกเขาจะกลับไปหา “ทางของพระเจ้า”  ในพระคัมภีร์  แต่นิกายเหล่านี้กลับเน้นคำสอนของแต่ละนิกาย  แต่ละนิกายตั้งชื่อคริสตจักรตามผู้ก่อตั้ง  หรือตั้งชื่อคำสอนที่นิกายของตนเองเน้น  แต่นิกายต่างๆเหล่านี้ไม่ได้ให้เกียรติยศพระเยซู  เพราะพระเยซูเป็นผู้ตั้งคริสตจักร  ปัจจุบันมนุษย์ไม่สามารถเป็นสมาชิกคริสตจักรของพระคริสต์ถ้าเป็นสมาชิกในนิกายต่างๆที่มนุษย์ตั้งขึ้น  แม้ว่าจะมีความจริงใจแค่ไหนก็ตาม
 

74. กษัตริย์ Henry VIII แห่งอังกฤษได้ประกาศเป็นคริสตจักรแห่งประเทศอังกฤษแยกออกจาก คริสตจักรโรมันคาธอลิก เมื่อ ค.ศ. 1534 ในปี ค.ศ. 1552 คริสตจักรอังกฤษได้เขียนคำสอนเรียกว่า “บัญญัติ 42 ข้อ” คริสตจักร Methodist (1739) คริสตจักร Episcopal (1789) ได้แยกออกมาจากคริสตจักรอังกฤษ  อีกนิกายหนึ่งคือ คริสตจักร Baptist เกิดขึ้นครั้งแรกที่ Amsterdam, Holland ต้นศตวรรษที่ 17 คริสตจักร Baptist ในแผ่นดินอังกฤษเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1611
 

75. ปัจจุบันเป็นการง่ายที่คนลืมไปว่าพระเยซูตั้งคริสตจักรของพระองค์มากกว่า 2,000 ปีมาแล้ว  เราสามารถอ่านคริสตจักรของพระคริสต์ ที่พระเยซูตั้งขึ้นในพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งเกิดขึ้นหลายร้อยปีก่อนคริสตจักรโรมันคาธอลิกและก่อนคริสตจักรนิกายต่างๆ  เมื่อเมล็ดพืชคือพระคำของพระเจ้าหว่านลงที่ไดผลก็จะเป็นคริสเตียนรวมตัวเป็นคริสตจักรเดียว เป็นคริสตจักรที่พระเยซูตั้งขึ้น
 

76. แต่เราเห็นว่าเมื่อคำสอนของมนุษย์ผสมกับ “เมล็ดพืชคือพระคำของพระเจ้า” ทำให้เกิดนิกายขึ้นมากมาย  มากกว่า 300 นิกายในปัจจุบันนี้  คนเป็นสมาชิกในนิกายต่างๆโดยไม่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของพระเจ้า  ทำให้ผู้นำในนิกายต่างๆเริ่มไม่พอใจนิกายต่างๆยกคำสอนของมนุษย์แทนที่จะยกพระคัมภีร์ใหม่เป็นมาตรฐาน  พวกเขาต้องการทิ้งคำสอนของมนุษย์  และกลับไปปฏิบัติตามคำสอนอันบริสุทธิ์ของพระเยซู
 

77. แม้ว่าคนเหล่านี้อยู่คนละทิศละทางตอนแรกๆไม่รู้จักกัน  แต่มีเป้าประสงค์อันเดียวกัน  เป้าประสงค์ของพวกเขาคือไม่ต้องการตั้งนิกายใหม่ขึ้น  และไม่ต้องปรับปรุงนิกายเดิม  แต่ต้องปฏิรูปให้คริสตจักรเป็นเหมือนคริสตจักรของพระคริสต์ดั้งเดิมตามที่สอนในพระคัมภีร์ใหม่  เหมือนคริสตจักรยุคอัครสาวกไม่เหมือน ลูเธอร์, คาลวิน ที่ผลงานของพวกเขากลายเป็นนิกายต่างๆ คนเหล่านี้ต้องการชี้ให้กลับไปที่พระคัมภีร์ใหม่  และกลับไปคริสตจักรดั้งเดิมที่พระเยซูได้ตั้งขึ้น
 

78. ท่ามกลางการแตกแยกในนิกายต่างๆยังมีคนที่เคารพพระคัมภีร์ว่าเป็นพระคำของพระเจ้า  โดยพระคัมภีร์นี้แหละผู้เชื่อทั้งหลายสามารถเป็นอันเดียวกันได้โดยพระเยซู  พวกเขายอมรับพระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าไหม?  พวกเขาเชื่อพระเจ้าองค์เดียวกันไหม?  ความบาปของการแตกแยกเกิดขึ้นมิใช่มีสาเหตุมาจากพระคัมภีร์  แต่แตกแยกเพราะชื่อของนิกายต่างๆ เกิดจากคำสอนต่างๆของมนุษย์  และอุปสรรคขัดขวางเกิดจากมนุษย์  พระคัมภีร์แต่เพียงอย่างเดียวเป็นความหวังอันเดียวที่จะทำให้ผู้เชื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้  แต่คนส่วนมากมองข้ามพระคัมภีร์ไป
 

79. การแตกแยกทวีมากขึ้น เพราะผู้เชื่อส่วนมากจงรักภักดีต่อนิกายและคู่มือคำสอนของแต่ละนิกาย  แทนที่จะจงรักภักดีในพระคัมภีร์ว่าเป็นอำนาจเด็ดขาด  เป็นเหตุให้นิกายยึดข้อพระคัมภีร์บางข้อที่สนับสนุนคำสอนของตนเองแทนที่จะยึดพระเจ้า  แต่คนที่มีความจริงใจในการค้นหาความจริงจดจำพระดำรัสของพระเยซูได้ว่า “คนเช่นนี้นับถือเราด้วยริมฝีปากแต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา  เขาปฏิบัติเราโดยหาประโยชน์มิได้ด้วยเอาคำของมนุษย์สอนว่าเป็นพระบัญญัติ  ...พระองค์จึงตรัสตอบว่า "ต้นไม้ใดๆ ทุกต้นซึ่งพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์มิได้ทรงปลูกไว้จะต้องถอนเสีย” (มัดธาย 15:8-9, 13)

80. ผู้นำศาสนาที่จริงใจเริ่มมองเห็นว่าถ้านิกายต่างๆทิ้งคำสอนของมนุษย์ ทิ้งชื่อของนิกาย ทิ้งการปฏิบัติต่างๆ ถ้าทำอย่างนั้นได้ความแตกต่างจะละลายหายไป  หันมายกพระคำของพระเจ้า ให้เป็นอำนาจเด็ดขาด  คริสเตียนสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวในคริสตจักรของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า  เหมือนคริสตจักรยุคอัครสาวก  คำวิงวอนนี้เป็นไปได้และเป็นคำวิงวอนของพระเยซู
 

81. ปัจจุบันนี้ก็เป็นไปได้ถ้าทุกคนรักพระเยซูจะมองข้ามนิกายต่างๆไปและหันหน้าไปหาพระเยซู  ไปที่คริสตจักรที่พระองค์ตั้งขึ้น  ตั้งแต่ยุคแรกก่อนที่จะมีนิกายโรมันคาธอลิก  และนิกาย Protestant อื่นๆ คำวิงวอนให้กลับมาที่พระคัมภีร์ไม่ได้เรียกร้องให้ผู้ใดก้มหัวให้กับนิกายของมนุษย์ใดๆทั้งสิ้น  ทุกคนจะต้องทิ้งชื่อของนิกายต่างๆ ทิ้งคำสอนของนิกายต่างๆ ทิ้งการปฏิบัติตามนิกายต่างๆซึ่งพระคัมภีร์ไม่ได้สอนไว้  ให้หันกลับไปตามหน “ทางของพระเจ้า” ที่เปิดเผยในพระคัมภีร์ใหม่
 

82. ปัจจุบันนี้พระเยซูชี้ให้มนุษย์ทุกคนหันไปยึดพระคัมภีร์ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  ถ้าพระเยซูจะไปนมัสการตามคริสตจักรต่างๆพระองค์จะรูสึกเศร้าพระทัยแค่ไหน  เพราะมนุษย์ได้ตั้งนิกายขึ้น  ชื่อคริสตจักรของนิกาย คำสอนของนิกายแทนที่จะยกพระคัมภีร์  พระเยซูจะยอมรับได้อย่างไร?
 

83. ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนพระเยซูได้อธิษฐานว่า “ข้าพเจ้ามิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งหลายที่วางใจในข้าพเจ้าเพราะคำของเขา  เพื่อเขาทั้งหลายจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนพระองค์คือพระบิดาสถิตอยู่ในข้าพเจ้าและข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์และกับข้าพเจ้าด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา” (โยฮัน 17:20-21)  สมัยของอัครสาวกคริสเตียนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในคริสตจักรเดียวกัน  คำอธิษฐานของพระเยซูจะเป็นจริงได้ในปัจจุบันนี้  ถ้ามนุษย์ทิ้งคำสอนของมนุษย์และข้อปฏิบัติของมนุษย์หันกลับมาตามหนทางของพระเจ้าที่สำแดงไว้ในพระคัมภีร์ใหม่
 

84. ขอให้ผู้เชื่อทั้งหลายทั่วโลกระลึกถึงคำอธิษฐานของพระเยซูที่ต้องการให้สาวกทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  ให้ปฏิบัติตามคำเรียกร้องของพระคัมภีร์  เพื่อให้เป็นศาสนาคริสต์ตามแบบพระคัมภีร์ใหม่ อันบริสุทธิ์  ขอให้คนทุกชาติศึกษาพระคัมภีร์ใหม่แล้วปลดแอกออกจากนิกายเป็นสมาชิกในกายเดียวกันของพระเยซูคริสต์  ร่วมมือร่วมใจนมัสการและทำการร่วมกันตามหน “ทางของพระเจ้า” ขอให้พระคำของพระเจ้านำพาท่านให้พบความจริงเกี่ยวกับคริสตจักรของพระองค์  ท่านสามารถเป็นคริสเตียนได้โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขของพระเจ้าที่สอนไว้ในพระคัมภีร์  เชื่อ, กลับใจเสียใหม่, สารภาพความเชื่อ และรับบัพติศมา แล้วท่านจะรอด

ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1Sy06eW0gCRJ-h-4tPB3tpqiWLLtXNBw2yc53flg5XgU/viewform