ยุคคริสเตียน ภาคแรก
1. 
การศึกษาพระคัมภีร์ของท่านมาถึงจุดที่สำคัญที่สุด  
บทเรียนตอนต้นเป็นการปูพื้นฐานเพื่อท่านจะมีความเข้าใจ 
 
“ยุคคริสเตียน” 
มากขึ้นซึ่งเป็นยุคที่เราอยู่ในปัจจุบันนี้  
ในการศึกษาอย่างต่อเนื่องโปรดเก็บบทเรียนนี้ไว้เพื่อประกอบในการศึกษา
2. 
มีข้อพระคัมภีร์ในบทเรียนมากมาย  
เมื่อท่านคุ้นเคยกับข้อพระคัมภีร์เหล่านี้จะยิ่งทำให้ท่านเข้าใจพระคัมภีร์ทั้งเล่มได้
3. 
 “ยุคคริสเตียน” 
ภาคแรก 
มีพระเยซูเป็นหัวใจของบทเรียน  
ยุคนี้เริ่มต้นหลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์และฟื้นขึ้นจากตายจนถึงตอนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา  
ตอนนั้นก็เป็นเวลาสิ้นสุด
4. ครอบครัวคริสเตียน  
จะไปร่วมประชุมนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรเป็นประจำเหมือนคริสเตียนอื่นๆ 
ได้ปฏิบัติเป็นประจำสืบต่อกันมาทั่วทุกชั่วอายุ  
เพราะพวกเขาถือว่าเป็นหน้าที่และเป็นสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์  
การปฏิบัตินี้เริ่มต้นอย่างไร?  และมีความพยายามอย่างไร?  และทำไมคริสเตียนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ?  
นี่เป็นคำถามที่เราจะให้คำตอบในบทเรียนนี้
5.
ประการแรก ขอให้เราทบทวนสิ่งที่เราได้ศึกษาแล้ว  
จากผังนี้เราเรียนรู้เกี่ยวกับยุคของบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นยุคแรกในประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์  
เริ่มต้นจากอาดามและการทรงสร้างจนถึงตอนที่โมเซได้นำชนชาติยิศราเอลข้ามทะเลแดง  
และการวนเวียนอยู่ในป่าอันเป็นสถานที่พระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติ
6.
ยุคที่สองคือยุคโมเซ  เป็นประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์  
ยุคนี้เริ่มตั้งแต่การที่พระเจ้าประทานพระบัญญัติให้โมเซบนภูเขาซีนายจนถึงตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
7.
ขอให้เราพิจารณาประเด็นสำคัญของยุคคริสเตียน  
เป็นยุคที่สามและเป็นยุคสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์  
เริ่มต้นจากการที่พระเยซูสิ้นพระชนม์, 
ถูกฝังไว้, การฟื้นคืนพระชนม์ 
และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซูยุคนี้จะสิ้นสุดจนถึงวันที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา  
เราจะศึกษาเรื่องอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิตของพระเจ้า  หรือการสถาปนาคริสตจักร 4 
สิ่งที่จำเป็นในการสถาปนาคริสตจักร  พระพรภายในคริสตจักร  อาณาจักร 
แบบของพระเจ้าเกี่ยวกับคริสตจักรของพระองค์ที่พบในพระคัมภีร์ เครื่องหมายเริ่มต้น 
การเป็นอันหนึ่งอันเดียวในคริสตจักรเดียว การปกครอง 
นามของพระเจ้าสำหรับผู้ที่ได้รับการไถ่แล้ว  กฎของความเชื่อ การนมัสการ สมาชิก 
และภารกิจของคริสตจักรของพระองค์ในโลกนี้  
ประการแรกขอให้เราศึกษาเรื่องการสถาปนาคริสตจักร
8.
ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์  พระองค์ได้บอกพวกสาวกเกี่ยวกับคริสตจักร 
หรือคริสตจักร  ซึ่งจะมาภายในไม่ช้า  
พระองค์สอนพวกสาวกว่ารากฐานของคริสตจักรก็คือความจริงที่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าครั้งหนึ่งพระเยซูได้ถามพวกสาวกว่าประชาชนคิดว่าพระองค์เป็นผู้ใด  
พวกเขาตอบว่า 
 
“ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเขตเมืองกายซาไรอาฟีลิปปอยจึงตรัสถามพวกสาวกของพระองค์ว่า 
"คนทั้งหลายย่อมพูดว่าบุตรมนุษย์เป็นผู้ใด" 
14 เขาจึงทูลตอบว่า "ลางคนว่าเป็นโยฮันบัพติศโต 
ลางคนว่าเป็นเอลียา นอกนั้นว่าเป็นยิระมะยาหรือเป็นคนหนึ่งแต่ในพวกศาสดาพยากรณ์”
(มัดธาย 16:13-14) 
แล้วพระเยซูย้อนถามพวกสาวกว่า “พวกท่านคิดว่าเราเป็นผู้ใด?”
9.
เปโตรตอบว่า
“พระองค์เป็นพระคริสต์บุตรของพระเจ้า” 
พระเยซูสรรเสริญเปโตรที่ได้ยอมรับหลักฐานจากพระเจ้าไม่ใช่ความเห็นของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์  
แล้วพระองค์ตรัสว่า “ฝ่ายเราว่าแก่ท่านว่าท่านคือเปโตร 
บนศิลานี้เราจะตั้งคริสตจักรของเราไว้และประตูแห่งความตายจะมีชัยชนะต่อคริสตจักรนั้นหามิได้”
(มัดธาย 16:18) 
ข้อนี้ทำให้คนเข้าใจผิดตีความหมายว่าคริสตจักรตั้งอยู่บนเปโตรแทนที่จะตั้งบนพระเยซูคริสต์  
เปาโลสอนว่า “ด้วยว่าผู้ใดจะวางรากชนิดอื่นอีกไม่ได้ 
นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์” (1โกรินโธ 3:11) 
ที่จริงภาษากรีกคำว่า “เปโตร” 
หมายถึงก้อนหินเล็กๆ แต่คำว่า “ศิลา” 
ที่พระเยซูกล่าวถึงหมายถึงศิลาก้อนใหญ่ที่เป็นรากฐานมั่นคง 
ศิลาที่คริสตจักรจะตั้งอยู่คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง   
นี่เป็นคำสารภาพที่เปโตรได้รับการดลใจจากพระเจ้า
10.
ภายหลังจากนั้นก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขน  
พระเยซูได้บอกพวกสาวกของพระองค์ว่า 
 
“พระองค์ยังตรัสแก่เขาว่า
"เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายตามจริงว่า 
ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ 
มีลางคนที่ยังจะไม่ชิมความตายจนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุภาพ”
(มาระโก 9:1) โยฮันบัพติศโตตายไปแล้วก่อนที่พระเยซูจะตรัสคำสัญญานี้  
เรารู้ว่าโยฮันไม่ใช่ผู้ตั้งคริสตจักร  และไม่ได้เป็นสมาชิกของคริสตจักร (มาระโก 6:14-29) 
เราเรียนรู้จากพระสัญญาของพระเยซูว่าเวลานั้นคริสตจักรยังไม่ได้ตั้งขึ้น  
แต่บอกว่าคริสตจักรจะมาด้วย “ฤทธานุภาพ” 
ขณะที่อัครสาวกยังมีชีวิตอยู่
11.
หลังจากที่พระเยซูได้ให้คำสัญญานี้  
พระเยซูได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนในวันเดียวกันนั้นสาวกของพระเยซูได้นำพระศพของพระองค์ไปฝังไว้ในอุโมงค์ของสหาย  
(มัดธาย 27:57-61) 
ยะซายาได้พยากรณ์ไว้เมื่อ 750 ปีก่อนหน้านี้ (ยะซายา 53:9) 
มีศิลาก้อนใหญ่ปิดปากอุโมงค์มีตราประทับไว้และมีทหารโรมเฝ้าอยู่ที่อุโมงค์  
เพื่อไม่ให้ใครขโมยพระศพของพระองค์ไปแล้วอ้างว่าพระองค์ฟื้นขึ้นจากตาย  (มัดธาย 27:62-66)
12.
แต่ความตายไม่สามารถยึดเหนี่ยวพระบุตรของพระเจ้าได้  
เช้าตรู่ของวันอาทิตย์พวกสาวกพบว่าอุโมงค์ว่างเปล่า  
เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ได้เกิดขึ้นแล้ว  
พระเยซูได้ทำลายพันธนาการแห่งความตายกลายเป็นผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งหลาย (ลูกา 24:1-7) 
เพราะพระเยซูได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย (มาระโก 8:31) 
การอัศจรรย์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า (โรม 7:4) 
ความตายเป็นภัยน่ากลัวสำหรับมนุษย์ตลอดมา แต่พระเยซูได้เปิดประตูเอาชนะความตาย  
พระองค์ทรงสัญญาว่าคนที่ตายทั้งหลายจะเป็นขึ้นจากตาย  เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับมา (เฮ็บราย 
2:14-15)
13.
หลังจากที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์  พระเยซูได้ปรากฏตัวแก่สาวกของพระองค์บ่อยๆ  
และบอกเรื่องการมาตั้งของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิต  
พระองค์ได้ตรัสสั่งคำสั่งอันยิ่งใหญ่ให้พวกสาวกออกไปเทศนาแก่มนุษย์ในโลกว่าพระองค์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อความตายของเราทั้งหลาย  
บนภูเขามะกอกเทศก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์  
พระองค์ได้อวยพรพวกสาวกแล้วสั่งให้พวกสาวกไปรอที่กรุงยะรูซาเล็มเพื่อรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อพวกเขาจะได้รับฤทธิ์เดชพิเศษด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อช่วยให้พวกสาวกประกาศให้โลกรู้ว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดได้ยอมสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของพวกเขาทั้งหลาย 
(กิจการ 1:1-8)
14.
บัดดลองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์  
พวกสาวกได้เฝ้ามองดูจนพระเยซูลับตาในก้อนเมฆ  
ทูตสวรรค์ได้ปรากฏแก่พวกสาวกและบอกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาอีก (กิจการ 1:9-12) 
เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของมนุษย์แล้วได้เสด็จขึ้นสวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเพื่อครอบครอง  
เดี๋ยวนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วกับการมาของคริสตจักร  
หรืออาณาจักรของพระเจ้าซึ่งพระเยซูจะเป็นกษัตริย์ครอบครอง  
พวกอัครสาวกได้ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซู  พวกอัครสาวก 12 คน 
ได้กลับไปที่กรุงยะรูซาเล็ม
15.
สิบวันหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์  
พระเยซูได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่อัครสาวก  
มีเสียงดังจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสนั่นก้องทั่วตึก  
มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏอยู่บนเขาสิ้นทุกคน  พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์  
พวกอัครสาวกได้พูดเป็นภาษาต่างๆเป็นภาษาที่ไม่ได้เรียนมา  (กิจการ 2:1-4) 
พวกยิวทั่วทั้งโลกได้มาชุมนุมที่กรุงยะรูซาเล็มเพื่อถือเทศกาลวันเพ็นเตคอส  (กิจการ 
2:5)
16.
เสียงดังของการมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทำให้พวกยิวทั้งหลายที่ได้มาที่กรุงยะรูซาเล็มได้มาชุมนุมกัน  
พวกเขาพากันประหลาดใจที่ได้ยินพวกอัครสาวกพูดภาษาบ้านเกิดของตนเอง  เปโตรเรียกร้องความสนใจของฝูงชนด้วยการเทศนาเกี่ยวกับพระเยซูคำสัญญาการมาของพระมาซีฮาซึ่งเป็นเชื้อสายของดาวิด  
พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าพระองค์ได้ถูกประหารโดยไม่มีความผิด  
ถูกฝังไว้และได้ฟื้นขึ้นจากตาย 
 ได้เสด็จขึ้นสวรรค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  
พระเจ้าได้ตั้งให้พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์ มี 3,000 
คน ได้ทิ้งลัทธิยูดายมาเชื่อในพระเยซูคริสต์และได้รับบัพติศมาเพื่อความผิดบาปจะยกเสีย  
พระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนเหล่านี้ที่ได้รับบัพติศมาแล้วเข้าไปสู่คริสตจักรเพราะฉะนั้นคริสตจักร 
หรืออาณาจักรของพระเจ้าได้ตั้งขึ้นแล้วมาด้วยฤทธานุภาพพวกอัครสาวกยังมีชีวิตอยู่ตามที่พระเยซูได้สัญญาไว้ 
10 วันก่อนหน้านี้ (กิจการ 2:5-47)
17.
สี่สิ่งที่จำเป็นในการตั้งอาณาจักร  ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิต 
หรืออาณาจักฝ่ายโลกนี้  เราได้เห็นแล้วว่าอาณาจักรของพระเจ้าได้เริ่มต้นอย่างไร  
เราสามารถเรียนรู้ว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิต  
หรือฝ่ายโลกโดยการพิจารณาปัจจัย 4 ประการ  
อาณาจักรฝ่ายโลกนี้จะมีองค์ประกอบด้านเนื้อหนัง  
แต่คริสตจักรของพระคริสต์มีปัจจัยพื้นฐานและเป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิต
18.
คริสเตียนที่ดีจะแสวงหาโอกาสสอนผู้อื่น  เกี่ยวกับอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิต  
ที่เขาเป็นสมาชิกอยู่มีองค์ประกอบ 4 ประการที่จำเป็นในการตั้งเป็นอาณาจักรคือ 
ต้องมีกษัตริย์, 
ต้องมีแผ่นดิน, ต้องมีประชาชน และต้องมีกฎหมาย 
 ถ้าขาดองค์ประกอบอย่างหนึ่งอย่างใดจะเป็นอาณาจักรไม่ได้  
พระเยซูสอนว่าองค์ประกอบทั้ง 4 ประการจำเป็นสำหรับอาณาจักรของพระองค์  
ที่มีคุณลักษณะฝ่ายวิญญาณจิต
19.
เมื่อพวกยิวได้มอบพระเยซูให้แก่ปีลาตไปตรึงบนไม้กางเขน  พระเยซูได้อธิบายว่า
 
“แผ่นดินของเราไม่ได้เป็นอย่างแผ่นดินโลกนี้” 
(โยฮัน 18:36) คริสตจักรที่แท้จะเป็นแผ่นดินฝ่ายวิญญาณจิต  
ไม่มีสำนักงานหรือองค์กรฝ่ายโลกนี้  แต่คริสตจักของพระคริสต์ มีประมุขฝ่ายวิญญาณจิต 
มีแผ่นดินฝ่ายวิญญาณจิต มีประชาชนฝ่ายวิญญาณจิต และกฎหมายฝ่ายวิญญาณจิต
20.
ให้เราพิจารณาองค์ประกอบฝ่ายวิญญาณจิตที่ทำให้เป็นคริสตจักรของพระคริสต์  
พระคัมภีร์บอกว่าใครเป็นประมุขของแผ่นดินฝ่ายวิญญาณจิต?
21.
นึกถึงคำที่ทูตสวรรค์ฆับรีเอล  ได้กล่าวแก่นางมาเรียว่าพระเยซูจะบังเกิด
 
“และท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบสืบๆ 
ไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่รู้สิ้นสุดเลย” (ลูกา 
1:33) 
พระเยซูยังคงเป็นกษัตริย์ครอบครองประเทศฝ่ายวิญญาณจิตของพระเจ้าในปัจจุบันนี้ 
(1โกรินโธ 15:25-26)
22.
แผ่นดินฝ่ายวิญญาณจิตมีขอบเขตไปถึงแค่ไหน?  เพราะพระพระเยซูตรัสว่า 
 
“แผ่นดินของเราไม่ใช่ฝ่ายโลกนี้” 
(โยฮัน 18:36) 
เราสรุปว่าการครอบครองของพระองค์ไม่ใช่เกี่ยวกับโลกนี้  
ถ้าเช่นนั้นพระเยซูครอบครองที่ไหน?
23.
คำถามดังกล่าวไม่สามารถไม่สามารถตอบด้วยการชี้ไปที่จุดหนึ่งจุดใดในโลก  
เพราะพระเยซูตรัสว่า 
 
“แผ่นดินของพระเจ้าอยู่ภายในท่านทั้งหลาย” 
(ลูกา 17:21) 
เรารู้ว่าพระองค์ครอบครองอยู่ในใจของคนไม่ว่าคนจะจะที่ไหนก็ตาม  
ดังนั้นผืนแผ่นดินในอาณาจักรของพระองค์จึงเป็นผืนแผ่นดินฝ่ายวิญญาณจิต  
จึงไม่สามารถกำหนดลงไปในแผ่นดินที่ตั้งในทางภูมิศาสตร์ หรือด้านการเมืองได้  
อาณาจักรของพระเจ้าหรือคริสตจักรอยู่ทั่วทุกแห่งที่ไหนก็ตามที่มีผู้เชื่อที่จงรักภักดีต่อพระเยซูคริสต์ 
พระเจ้าต้องการครอบครองอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคน
24.
พลเมืองหรือประชาชนในอาณาจักรของพระเจ้าเป็นใคร  เพราะอาณาจักรของพระเจ้า  
และอาณาจักรของซาตานทั้งสองอาณาจักรมีขอบเขตทั่วโลก  
มนุษย์มีชีวิตทุกคนและเป็นพลเมือง ไม่มีอาณาจักรใดก็อาณาจักรหนึ่ง
25.
พลเมืองในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิตของพระเจ้า  
คือมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาที่ยอมมอบชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ในฐานะที่พระองค์เป็นกษัตริย์หรือเป็นเจ้านายของเขา  
พระเจ้าองค์เดียวที่ทรงสร้างมนุษย์หลายชาติหลายภาษาได้ตั้งศาสนาเดียวสำหรับมนุษย์ทุกชาติ  
พวกอัครสาวกได้สั่งสอนพวกที่นับถือลัทธิยูดาย  
รวมทั้งผู้ที่นับถือศาสนาอื่นเพื่อเขาจะได้ปรนนิบัติพระเยซูด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ  
พระเจ้าทรงต้องการให้มนุษย์ทุกคน ทุกคริสตจักรเป็นเจ้านายเหนือหัว 
ในอาณาจักรเดียวของพระองค์  คือคริสตจักร  ซึ่งพระเยซูได้ทรงสละชีวิตของพระองค์  (ฟิลิปปอย 
2:9-11)
26.
ครูสอนพระคัมภีร์จะถามท่านว่า 
 
“จะใช้กฎหมายอะไรในการควบคุมพลเมืองในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิตของพระเจ้า”  
พระเจ้าปล่อยให้คนมีเสรีภาพในการกำหนดกฎขึ้นมาเองเพื่อควบคุมคริสตจักรของตนเองอย่างนั้นหรือ  
เมื่อกลุ่มนักศาสนาได้เขียนกฎทางศาสนาของตนเองขึ้น  
นี่ไม่ใช่หรือที่ทำให้มีการแตกแยกเป็นนิกายต่างๆขึ้น
27.
พระเจ้าได้ประทานพระคัมภีร์ใหม่  
เป็นกฎหมายของพระองค์ที่ใช้ควบคุมพลเมืองในอาณาจักรของพระคริสต์  อัครสาวกเปาโลเรียกว่าบัญญัติฝ่ายวิญญาณจิตแห่งชีวิต  
เพราะพระคำของพระเจ้า  เป็นความจริงอะไรที่ขัดกัน  พระคัมภีร์นับว่าผิด  
พระคัมภีร์ใหม่สอนว่าเหตุผลขั้นพื้นฐานที่สำคัญในการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์  
ก็คือความรักของเราที่มีต่อพระเยซู  
ในสมัยของอัครสาวกคนที่ยอมประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้าตามที่ได้เปิดเผยในพระคัมภีร์ใหม่  
จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอัครสาวก  ภายในคริสตจักรเดียว (เอเฟโซ 4:4)
28.
เกี่ยวกับพระบัญญัติของพระเจ้า  อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า
 
“พระคัมภีร์ทุกตอน 
พระเจ้าได้ทรงประสาทให้ ย่อมเป็นประโยชน์สำหรับสั่งสอน สำหรับตักเตือน 
สำหรับดัดแปลงคนให้ดีขึ้น และสำหรับสอนให้รู้ในความชอบธรรม 17 
เพื่อคนของพระเจ้าจะได้เป็นผู้รอบคอบ 
คือเป็นผู้ที่ได้ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับการดีทุกอย่าง”
(2ติโมเธียว 3:16-17) 
เพราะพระคัมภีร์ครบถ้วนสมบูรณ์และเพียงพอแล้ว  
เราพร้อมที่จะเข้าใจว่าศาสนาที่นับถือเป็นประเพณีและบัญญัติที่มนุษย์ได้ทำขึ้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำเป็นเท่านั้นแต่เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด 
(2ติโมเธียว 4:1-4) 
 
29.
เหมือนกับทหารที่ปกป้องกฎหมาย  มีข้อพระคัมภีร์มากมาย 
มีข้อพระคัมภีร์มากมายที่เตือนไม่ให้มนุษย์ทำลายพระคำของพระเจ้าที่เขียนขึ้น  
แม้ว่าจะใช้คำที่ต่างกันไป  แต่ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้มีถ้อยคำที่ตักเตือนเหมือนๆกัน
30.
คำตักเตือนเหล่านี้มีใจความว่า 
 
“เจ้าทั้งหลายอย่าได้เพิ่มเติมคำที่เราสั่งสอนเจ้าทั้งหลายและอย่าได้ลดหย่อนจากถ้อยคำนั้น 
เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้ประพฤติตามข้อบัญญัติแห่งพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าซึ่งเราได้สั่งเจ้าทั้งหลาย”
 (พระบัญญัติ 4:2) 
คำตักเตือนกล่าวซ้ำอีกครั้งใน สุภาษิต 30:6  วิวรณ์ 22:18-19 
แม้ว่าพระเจ้าได้ตักเตือนอย่างหนัก  แล้วว่า 
“ไม่ให้เพิ่ม” 
หรือ “ไม่ให้ลด” จากพระคัมภีร์  
มีคนเป็นอันมากได้ละเมิดคำตักเตือนของพระเจ้าและหันไปปฏิบัติตามศาสนาของมนุษย์  
ตามประเพณีที่มนุษย์ได้เขียนขึ้น (มัดธาย 15:8-9) 
ท่าทีแบบนี้เป็นดินที่ก่อให้เกิดนิกายต่างๆมากมายในปัจจุบันนี้
31.
โปรดจำไว้ว่าอาณาจักรของพระคริสต์ คริสตจักรประกอบด้วย  พระเยซูเป็นกษัตริย์  ใจของคริสเตียนเป็นเหมือนผืนแผ่นดิน 
ผู้เชื่อทุกคนเป็นพลเมืองและพระคัมภีร์ใหม่เป็นบัญญัติที่เป็นอำนาจเด็ดขาดทางฝ่ายวิญญาณจิต  
เราพร้อมที่จะกล่าวได้ว่าอาณาจักรของพระคริสต์ไม่ใช่เป็น
 
“อาณาจักรฝ่ายโลกนี้” 
แต่เป็น “อาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิต”
32.
พระพรฝ่ายวิญญาณจิตภายในอาณาจักรของพระคริสต์  
จะได้รับสิทธิ์นี้ภายในอาณาจักรของพระองค์  
ทุกคนตระหนักดีว่าพลเมืองของอาณาจักรใดๆจะได้รับสิทธิพิเศษบางประการ  
แต่ชาวต่างชาติจะไม่ได้รับสิทธิ์นี้
33.
พระพรสำหรับผู้ที่ได้รับความรอดแล้ว  ตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ 
มีวลีที่พระคัมภีร์ได้บรรยายพลไพร่ของพระเจ้าไว้ดังนี้  
 
“แผ่นดินของพระเจ้า”
“คริสตจักร” “พระกายของพระคริสต์”
และ “ครอบครัวของพระเจ้า” 
วลีที่ใช้เหล่านี้ต้องการเน้นให้เห็นพระพรของพระเจ้าแก่พลไพร่ของพระเจ้าในลักษณะต่างๆ  
ตัวอย่างเช่นพระคัมภีร์ใช้คำว่า “แผ่นดิน” 
หมายความว่าพระเยซูเป็นกษัตริย์ฝ่ายวิญญาณจิต  อัครสาวกเปาโลได้กล่าวไว้ใน  โกโลซาย 
1:13-14 “ผู้ได้ทรงช่วยเราทั้งหลายให้พ้นจากอำนาจแห่งความมืด 
และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์  
ในพระองค์นั้นเราทั้งหลายจึงได้รับการไถ่ คือทรงโปรดยกความผิดทั้งหลายของเรา”
 การยกโทษบาปโดยพระโลหิตของพระเยซูได้ย้ายเราให้พ้นจากอำนาจแห่งความมืด  
ย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบัตรของพระเจ้า  
บรรดาคนที่อยู่ภายในแผ่นดินจะได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณจิตในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า
34.
แผ่นดินของพระเจ้า  ถูกเรียกอีกอย่างว่า 
 
“คริสตจักร” 
ภาษากรีกคำว่า “คริสตจักร” หมายถึง
“ผู้ที่ถูกเรียกออกมา” “หมู่ประชุม” 
หรือ “ชุมนุมชนที่มาร่วมกัน” 
พระเจ้าเรียกเราให้แยกออกมาจากโลกนี้และผูกพันซึ่งกันและกันในทางฝ่ายวิญญาณจิต  
พระเยซูทรงเป็นผู้สร้าง  พระองค์ได้สัญญาว่า “ฝ่ายเราว่าแก่ท่านว่าท่านคือเปโตร 
บนศิลานี้เราจะตั้งคริสตจักรของเราไว้และประตูแห่งความตายจะมีชัยชนะต่อคริสตจักรนั้นหามิได้”
(มัดธาย 16:18)  
นับตั้งแต่วันที่คริสตจักรได้ตั้งขึ้นครั้งแรกพระเจ้าได้ทรงโปรดให้ผู้ที่ได้รับความรอดโดยพระโลหิตของพระเยซู  
แล้วเพิ่มเข้ามาในคริสตจักรของพระองค์
35.
คริสตจักรยุคแรก  
 
“ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและเป็นที่ชอบต่อคนทั้งปวง 
ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะพ้นความผิดบาปของตนมาเข้ากับจำพวกสาวกทวีขึ้นทุกวันๆ”
(กิจการ 2:47) 
ขณะเดียวกันก็ได้รับการชำระโดยพระโลหิตของพระเยซู  
พระเจ้านับผู้ที่รอดแล้วเข้าในคริสตจักร  
เพราะฉะนั้นเป็นการผิดที่เชื่อว่าคนได้รับความรอดมาก่อนแล้วจึงเข้ามาเป็นสมาชิกของคริสตจักร 
หรือครอบครัวของพระเจ้า
36.
คริสตจักรหรืออาณาจักร ถูกเรียกอีกว่า 
 
“พระกายของพระคริสต์” 
ในการเปรียบคริสตจักรเหมือนร่างกาย  
ทำให้เราตระหนักดีว่าในร่างกายของเรามีอวัยวะหลายอย่างมากมาย  แต่มีศีรษะเดียว  
เอเฟโซ 1:22-23 พระเจ้าตรัสว่า “พระองค์ได้ทรงปราบสิ่งสารพัดทั้งปวงลงไว้ใต้พระบาทของพระองค์ 
และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23 
ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ 
คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งทุกตำบล”
เหมือนที่โลหิตในร่างกายป้องกันเชื้อโรคและรักษาบาดแผลฉันใด  
พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ซึ่งอยู่พระกายฝ่ายวิญญาณจิตในคริสตจักรจะชำระและรักษาจิตวิญญาณของเราอย่างต่อเนื่อง  
ความรอดได้รับมาโดยพระเยซูเท่านั้น  
พระองค์ได้กำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับพระพรจะต้องเป็นสมาชิกในพระกายของพระองค์คือคริสตจักร
37. 
ก่อนที่เปาโลจะลาจากผู้ปกครองของคริสตจักรเอเฟโซด้วยน้ำตาไหล  เปาโลได้ตักเตือนพวกเขาว่า
“เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี 
และจงรักษาฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้เป็นผู้ดูแล 
และเพื่อจะได้บำรุงเลี้ยงคริสตจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงได้ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง”
(กิจการ 20:28) 
เพราะพระเยซูลงทุนซื้อคริสตจักร ด้วยพระโลหิตของพระองค์  
ดังนั้นผู้ที่รอดจะต้องอยู่ภายในคริสตจักร  
และสัตย์ซื่อต่อพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับพระพรและรับความรอดซึ่งได้มาโดยพระโลหิตของพระเยซู
38.
คริสตจักรถูกเรียกว่า  
 
“ครอบครัวของพระเจ้า” 
หรือ “ครอบครัว” 
เพราะประกอบไปด้วยผู้ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว  
เพราะฉะนั้นก็ถือว่าทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า  อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “ฝ่ายพระวิญญาณนั้นเป็นพยานรวมกับจิตใจของเราทั้งหลายว่าเราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า 
17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราจึงเป็นทายาท 
คือผู้รับมรดกของพระเจ้าและเป็นทายาทด้วยกันกับพระคริสต์ 
หากเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์เพื่อเราทั้งหลายจะได้สง่าราศีด้วยกันกับ”
(โรม 8:16-17) ในครอบครัวฝ่ายวิญญาณจิต  
พระเยซูเป็นพี่ชายใหญ่ และพระเจ้าเป็นบิดาเพียงผู้เดียวเท่านั้น  
ด้วยเหตุนี้เองพระเยซูจึงตรัสว่า “และอย่าใคร่ให้ผู้ใดในแผ่นดินโลกเรียกตนว่า
'บิดา 
เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียวคือผู้ที่สถิตอยู่ในสวรรค์”
(มัดธาย 23:9) 
ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่เท่านั้นจะได้รับมรดกชีวิตนิรันดร  ผู้ที่อยู่นอก 
ครอบครัวคริสตจักรของพระเจ้า ก็ยังคงไม่ได้รับความรอด
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1rcpbPkiiz2-L2U-rHJx-QFbKyJKUDspDS_v6DJbUtGs/viewform
